วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ชักจูงง่ายๆ (ให้คล้อยตาม)

นี่ก็ใกล้สิ้นปีอีกแล้ว นับจากนี้ไปก็เหลือไม่กี่เดือน ทุกอย่างมันช่างเร็วเสียเหลือเกิน กับอากาศแบบนี้ในวันนี้ทำให้ผมคิดถึงเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง...เป็นเรื่องของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่นิสัยใจคอ การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว ความคิด ทัศนคติ วุฒิภาวะ ฯลฯ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่รวมกันในการทำงาน ในสังคม และในครอบครัว เพราะความแตกต่างนั้น ๆ มักทำให้เกิดความขัดแย้งในการทำงานและในสังคม และมันเป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย เราจะทำอย่างไรเราจึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่นไม่ว่าในงานหรือนอกงาน นั่นก็คือเมื่อเรากำจัดความแตกต่างไม่ได้แต่เราจะทำให้ไม่มีความขัดแย้ง และยังสามารถมีความคิดคล้อยตามความคิดของเราได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญซึ่งเราจะสามารถทำได้หากเรารู้วิธีการปฏิบัติ ซึ่งจะนำไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังเกิดความร่วมมือร่วมใจด้วยดีสำหรับการทำงานร่วมกันในองค์กร เพราะฉะนั้นมันต้องมี วิธีปฏิบัติให้ผู้อื่นคล้อยตามความคิดของคุณ โดยที่คุณมิได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีเหตุมีผล แถมหลายคนยังมีทิฐิอีกต่างหาก คุณจึงต้องมีกลยุทธ์ในการปฏิบัติต่อพวกเขา เพื่อให้พวกเขายอมรับตัวคุณ คล้อยตามความคิดของคุณ เป็นมิตรกับคุณ โดยมีวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ดังนี้

* มนุษย์นั้นต้องสอนเขาเหมือนกับคุณไม่ได้สอน
ในแง่จิตวิทยามนุษย์ล้วนต้องการเป็นคนสำคัญ เพราะฉะนั้นหากใครจะไปสอนเขาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ จึงจะดีและถูกต้อง มันก็เหมือนกับว่าเขาด้อยกว่าคุณ ดังนั้น คุณต้องสอนเหมือนกับคุณไม่ได้สอนเขา อย่างเช่น เสนอแนะว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจะดีไหมหรือเขาเห็นว่าอย่างไร เขาอาจจะเห็นด้วยกับคุณเพราะมันเป็นความคิดของเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้น มิใช่เพราะคุณสอน นั่นก็หมายความว่าเขาคล้อยตามความคิดของคุณด้วยความรู้สึกดี ๆ เหมือนกับว่าเขาคิดเอง ไม่ใช่เพราะคุณสอน

* จึงเสนอสิ่งที่เขาไม่รู้ เสมือนหนึ่งว่าเขาลืมเลือนมันไป
เพราะถ้าหากใครคนหนึ่งไม่รู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว คุณไปบอกให้เขารู้ว่าเขาควรต้องรู้ในเรื่องนั้น ๆ พวกเขาจะยอมรับไม่ได้เลย เพราะมันเหมือนกับว่าเขาดูแย่จริง ๆ ที่ไม่รู้ในเรื่องนั้น ๆ ดังนั้น ถ้าคุณนำเสนอเหมือนกับว่าเขาเคยรู้เรื่องนั้น ๆ มาแล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาอาจจะลืมไป ลองคิดให้ดี ๆ บางทีเขาจะคิดออกก็ได้ ถ้าเป็นแบบนี้เขาจะรู้สึกไม่เสียหน้าและยอมรับข้อคิดนั้น ๆ อย่างเต็มใจ และรู้สึกดีกับคุณ จงอย่ากล่าวหรือตำหนิความผิดพลาดของผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาจะต่อต้านและตอบโต้เล่นงานคุณจนคุณรับไม่ทันทีเดียว ไม่มีใครจะยอมให้ผู้อื่นมาตำหนิตนต่อหน้าต่อตา เขาจะโกรธไม่พอใจและจะเป็นปฏิปักษ์กับคุณ การที่คุณจะกล่าวอะไรกับใครในเรื่องใดก็ตาม จงคิดถึงความรู้สึกของผู้หญิง โดยคิดว่าหากคุณได้รับฟังเช่นนั้น คุณจะรู้สึกอย่างไร หากคุณรู้สึกไม่ดีรับไม่ได้ ก็จงอย่าปฏิบัติเช่นนั้นกับผู้อื่น คุณย่อมจะมีมิตรและไม่สร้างศัตรู

* คนเราจะไม่ยอมรับถึงความผิดพลาดของตนเองเป็นอันขาด
ถ้ามีใครบังคับขู่เข็ญให้ยอมรับ เพราะโดยธรรมชาตินั้นหากใครบังคับขู่เข็ญให้เราพูดความจริง หรือยอมรับว่าเราผิดพลาด แทนที่อีกฝ่ายหนึ่งจะยอมรับ เขาจะโต้ตอบกลับด้วยการต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์กับอีกฝ่ายหนึ่งทันที ตรงกันข้าม...หากใช้วิธีปฏิบัติหรือด้วยวิธีการพูดอย่างนุ่มนวลถูกกาลเทศะ อีกฝ่ายหนึ่งอาจยอมรับผิดกับผู้นั้นอย่างเปิดเผย ตามวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ และยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันอีกด้วย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะใช้วิธีนี้ การพูดคุกคามขู่เข็ญให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมรับว่าเขาผิดพลาด เหมือนเป็นการประจานให้อีกฝ่ายหนึ่งอับอาย เสียหน้า ไม่พอใจ และความรู้สึกต่อต้าน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้พูดเลย ดังนั้น การพูดของเราในทุกโอกาสจึงต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ฟังบ้าง และคิดว่าหากพูดแบบนั้น แบบนี้ปฏิกิริยาของผู้ฟังจะเป็นอย่างไร เพื่อใช้ดุลยพินิจก่อนการพูดเสมอ การพูดที่ผ่านการพิจารณาไตร่ตรองแล้ว ย่อมทำให้ผู้ฟังพอใจ คล้อยตาม และเห็นด้วย ซึ่งจะมีความรู้สึกที่ดีต่อผู้พูด การทำเช่นนี้แม้ไม่ง่ายนักแต่หากมุ่งมั่นและพัฒนาไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่ง ก็จะกลายเป็นนิสัยที่ดีในการพูดต่อไป

* จงเอาใส่ใจอย่างแท้จริงต่อผู้อื่น เพราะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรต่อผู้นั้น
การที่จะทำเช่นนั้นได้เราจะต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีจิตใจกว้างที่ยอมรับผู้อื่นที่อาจแตกต่างจากเราในแง่ความคิด ทัศนคติ การพูดจา บุคลิกภาพ ฯลฯ เพราะคนเราไม่เหมือนกันในแง่ต่าง ๆ เราเองก็ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เหมือนกัน หากเราไม่ตั้งข้อจำกัดไว้มากมายนัก เราก็จะยอมรับผู้อื่นได้ไม่ยาก เราย่อมมีมวลมิตรหรือกัลยาณมิตรเสมอ จะทำการสิ่งใดก็ย่อมจะราบรื่นทั้งในการดำเนินชีวิตและในงาน ถ้าเราอยากมีสัมพันธภาพอันดีกับผู้อื่น ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เราก็จะต้องหยิบยื่นไมตรีจิตให้ผู้อื่น และกระทำสิ่งต่าง ๆ ให้กับผู้อื่น และนั่นก็จะทำให้เราชนะใจผู้อื่นได้เสมอ คนเห็นแก่ตัว คนที่ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น พวกเขาย่อมยากที่จะชนะใจผู้อื่น

* จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนกับที่คุณต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อคุณ
การทำเช่นนั้นจะต้องทำด้วยความจิงใจโดยมิได้หวังผลตอบแทน และจงทำเช่นนั้นตลอดเวลาและทุกสถานที่ การกระทำดังกล่าวที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขและความพึงพอใจ ย่อมทำให้คุณมีความปลื้มใจเมื่อเห็นว่าการกระทำของคุณมีคุณค่าต่อผู้อื่น ข้อนี้เป็นกฎทางธุรกิจข้อหนึ่งที่เรียกว่า “กฎทองคำ” ซึ่งกล่าวว่า “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่คุณอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อคุณ”  การเป็นผู้ให้นั้นเราทุกคนสามารถทำได้เสมอ ไม่ว่าจะใช้ในเรื่องวัตถุ เงินทอง ความคิด ความรู้ ให้อภัย ฯลฯ การให้เหล่านั้นหากกระทำด้วยความจริงใจ อยากให้ผู้อื่นหรือผู้รับมีความสุข พ้นทุกข์ ได้ปรับเปลี่ยนความคิด ฯลฯ ล้วนเป็นการให้ที่ทำให้ผู้ให้มีควาสุข ปลาบปลื้มใจ และภูมิใจที่ได้ทำสิ่งที่ดี ๆ ต่อผู้อื่น โดยบริสุทธ์ใจในความปรารถนาดีนั้น ๆ มิได้หวังสิ่งตอบแทนจากการกระทำนั้น ๆ  ข้อสำคัญก็คือผู้ให้มิได้สูญเสียอะไร เช่น การให้อภัย ให้ความคิดที่ดีต่อผู้อื่น การได้เป็นผู้ให้จึงเป็นคุณกับทั้งผู้ให้และผู้รับ เป็นความสุขทางใจที่ไม่อาจจะซื้อหาได้ด้วยเงิน  แต่นั่นแหละแม้คนเราจะรู้ว่า “การให้” นั้นเป็นสิ่งที่ดีก็ตามแต่คนที่เห็นแก่ตัวย่อมยากที่จะเป็นผู้ให้ได้อย่างจริงใจและเต็มใจ หากเมื่อใดที่คุณเป็นผู้ให้คุณจะสัมผัสได้ทันทีว่าการกระทำนั้นเป็นความสุขและภาคภูมิใจ จากการให้นั้น ๆ โดยไม่ต้องให้ใครมายกย่องสรรเสริญ แต่คุณได้ตระหนักถึงสิ่งดี ๆ ที่ได้ทำด้วยตัวคุณเองทุกครั้งไป

* จงแสดงกิริยา/คำพูดที่ดีงามต่อบุพการีเสมอ หรือผู้มีพระคุณ 
เพราะกิริยามารยาทตลอดจนคำพูดของบุคคล เป็นการแสดงถึงจิตใจและพื้นฐานของการอบรมของบุคคล ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องควบคุมอารมณ์ของเรา การแสดงออกไม่ว่าจะเป็นกิริยามารยาทหรือการพูดจาให้เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น ให้ได้รับความรัก ศรัทธา จากผู้อื่น

ทั้งหมดนี้ที่ผมเขียนขึ้นมา มันก็คือ วิธีปฏิบัติตนเพื่อชนะใจผู้อื่น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ปฏิบัติทั้งในการดำเนินชีวิตในการงานและในสังคมตลอดไป ทำดูแล้วจะรู้ว่าดีแท้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น