วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

นักสืบคลาสสิคแห่งปี

หนังนักสืบ เป็นหนังอีกประเภทหนึ่งที่ชอบโดยส่วนตัว เหตุผลที่ชอบ ก็เพราะมันเป็นการลำดับเรื่องราวให้ชวนสงสัย ชวนน่าติดตามตลอด ว่าทำไมคนนี้เขาถึงทิ้งปมไว้ เหตุผลที่มาที่ไปมันคืออะไร และที่สำคัญมีเรื่องมาให้คาดเดาทุกรูปแบบว่า ใครจะเป็นผู้ร้ายตัวจริง นี่หล่ะ! คือ เสน่ห์ของหนังแนวนี้ โดยส่วนตัวผมมีประสบการณ์ตรงที่ได้อ่านหนังสือแนวนักสืบมาก่อน ชื่อหนังสือคือ " ปัวโรต์ ยอดนักสืบ " เขามีชื่อเต็มๆ อย่างถูกต้อง แอร์กูล ปัวโร แต่ในหนังสือจะอ่านผิดเป็น เฮอร์คูล ปัวโรต์ ตัวละครนักสืบชาวเบลเยี่ยมนี้ ถูกเขียนให้อยู่ในนิยายนักสืบของ อกาธา คริสตี้  นักสืบปัวโรต์มีดวงตาสีเขียว ตัวอ้วน มีหนวดแข็งเพราะทาด้วยน้ำมัน เขามีผู้ช่วยคนหนึ่งซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและผู้ช่วยชื่อว่า ผู้กองเฮสติงค์และเจน มาเบล หลานสาวของเจน มาร์เปิล เท่าที่จำได้ นักสืบปัวโร ก็ได้มีการนำมาสร้างเป็นหนังด้วย ซึ่งผมก็เคยดู ทำได้ออกมาดีพอกับหนังสือ และพอมาถึงตอนนี้ ผมก็ได้มีโอกาสมาดูหนังเกี่ยวกับนักสืบอีกครั้ง นี่ก็เขียนมายาว..ขอเข้าเรื่องที่จะวิจารณ์ดีกว่า เรื่องนี้มี 2 ภาค ตอนนี้ได้ถูกทำออกมาเป็นวีซีดีให้เช่า ให้ซื้อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหนังภาคแรกจะฉายห่างทิ้งช่วงไปนานกว่า 2 ปีพอดิบพอดี หนังเรื่องนี้เป็นแนวแอ็กชั่นที่พลิกบทนักสืบไปเลยก็ว่าได้ และน่าจะมีหลายคนให้ความสนใจติดตามอยู่พอสมควรชื่อหนังคือ "เชอร์ล็อก โฮล์มส์" กับตอนที่มีชื่อว่า A Game of Shadows (เกมพญายมเงามรณะ) ตอน(ภาค)ที่ 2  ที่ยังคงใช้สองพระเอกมาดกวน สุดหล่อ "โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์" และ "จู๊ด ลอว์" กลับมารับบทของพวกเขาอีกครั้งในบทของโฮล์มส์ และ หมอวัตสัน โดยคราวนี้ทั้งคู่ต้องต่อกรกับตัวร้ายตัวใหม่ผู้ซึ่งมีความรู้ความสามารถตลอดจนปฏิภาณไหวพริบที่ทัดเทียมกันหรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำอย่างศาสตราจารย์เจมส์ มอริอาร์ตี้ ที่ได้ "จาเร็ด แฮร์ริส" มาสวมบทดังกล่าว

จากที่เคยเป็นตัวละคร "ปริศนา" ในภาคแรก มาภาคนี้นอกจากจะเผยโฉมศาสตราจารย์มอริอาร์ตี้ให้เห็นหน้าค่าตากันตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว หนังยังปูเรื่องให้รู้กันแบบไม่ต้องเก็บไปสงสัยเลยครับว่าจะมีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นอีกหรือเปล่าด้วยการให้พระเอกของเราได้เผชิญหน้าแบบโต้งๆ กับตัวร้ายที่ประกาศก้องว่าตรูนี่แหละคือผู้ร้ายที่จะจัดการกับแก คนรักของแก เพื่อนของแก แน่จริงก็หยุดตรูให้ได้สิวะ... เพราะฉะนั้นการดำเนินเรื่องหลักๆ จึงอยู่ที่ว่าพระเอก(คู่)ของเราจะหนีรอดจากการรุกรานของอีกฝ่าย รวมถึงจะทำอย่างไรถึงจะเปิดโปงว่าศัตรูคนนี้มีแผนการรร้ายที่ยิ่งใหญ่มากๆ ซุกซ่อนอยู่

เท่าที่ผมจำได้เมื่อเทียบกับภาคแรก(ดับแผนพิฆาตโลก) แม้ปมปริศนาต่างๆ ที่ถูกผูกขึ้นมาในภาค 2 ยามเมื่อถูกถอดเฉลยออกมาจะดูขาดน้ำหนักเหตุผลความน่าเชื่อถือไปบ้างจนไม่รู้สึกว่ามีอาการอึ้ง! แต่กลับรู้สึกว่ามันมั่วไปนิดๆ เสียมากกว่า (อารมณ์เหมือนกับความรู้สึกที่ได้ดู Ocean's Eleven กับ Ocean's Twelve อย่างไรอย่างนั้น) ทว่าโดยส่วนตัวผมว่าก็เป็นหนังที่ดูสนุกดี ย้ำนะครับว่าเป็นความรู้สึกโดยรสนิยมส่วนตัวจริงๆ เพราะจากปฏิกิริยาหลังหนังจบเท่าที่สังเกต หลายคนเดินออกมาแบบเงียบๆ บางคนบอกหลับสบายดี ฯ เดาได้เลยว่าคงมีจำนวนไม่น้อยที่ถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้อาจจะรู้สึกว่าหนังไม่มีอะไรเลย แถมออกจะน่ารำคาญด้วยซ้ำในความเก่งเวอร์ของพระเอก มุกตลกที่เดาได้ ขณะที่ตัวศาสตราจารย์เองแม้จะถูกสร้างขึ้นมาโดยให้มีความเก่ง ความฉลาดสุดๆ แต่หนังกลับถ่ายทอดออกมาให้สัมผัสถึงความรู้สึกดังกล่าวได้น้อยมากๆ แต่อย่างที่เคยบอกไว้ว่าบังเอิญหนังสไตล์แอ็กชั่นเท่ห์ๆ บวกตลกกวนๆ ยิ่งจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเช่นนี้หากเป็นหนังที่ทำได้ถึงจุดที่ควรจะเป็น ต่อให้ปมปัญหาตลอดจนการเล่าเรื่องจะซ้ำๆ ซากๆ คาดเดาเนื้อหาหรือแม้กระทั่งบทสรุปได้ สำหรับผมแล้วดูเมื่อไหร่ก็รู้สึกสนุกเมื่อนั้นแหละครับ แถมเรื่องนี้ยังได้พระเอกที่แอบปลื้มอย่างโคจรมาเจอกันอีกต่างหาก

ว่าถึงนักแสดงอย่าง โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ต้องบอกว่ากับคาแรกเตอร์กวนๆ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจตลอดจนสติปัญญาที่โคตรจะฉลาดนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นคาแรกเตอร์หลักในหนังแอ็กชั่นที่แกแสดงไปแล้ว ขณะที่ทางด้านของสุดหล่อ จู๊ด ลอว์ ในบทพระรองที่ต้องตกเป็นลูกไล่เช่นนี้ก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ ในเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ภาคที่แล้วถ้าใครดูและรู้สึกว่าฉากหึงหวง พ่อแง่พ่องอน ของโฮล์มส์กับหมอวัตสันเยอะแล้ว ภาคนี้ต้องบอกว่าเยอะกว่าครับ แถมยังดูกุ๊กกิ๊กๆ กันเสียจนถ้าพูดด้วยสำนวนวัยรุ่นก็ต้องว่า...น่าร้ากง่ะ...

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าผู้กำกับอย่าง "กาย ริตชี่" แกต้องการจะทำประชดประชัน ยั่วยวนยุไปยัง "แอนเดรีย พลังเก็ต" ผู้ถือลิขสิทธิ์นิยายและตัวละครเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ในสหรัฐฯ ที่เคยออกมาประกาศตั้งแต่ที่มีการสร้างหนังเรื่องนี้ภาคแรกแล้วว่าจะถอนสิทธิ์การสร้างหนังทันทีหากหนังมีการทำให้ตัวละครเอกสองตัวนี้ดูแล้วเป็นโฮโมเซ็กชวลกันหรือเปล่า?  ที่ดูหวือหวาขึ้นกว่าภาคแรกอีกเรื่องก็คงจะเป็นฉากแอ็กชั่นที่อึกทึกครึกโครมดีเหลือเกิน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นไปตามเนื้อผ้าเนื่องจากในภาคนี้เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งนั้นพูดถึงเรื่องราวของ "อาวุธ" ที่ถูกพัฒนาขึ้นมานั่นเอง นี่ก็มีข่าวล่าสุด ทางต้นสังกัดบริษัทวอร์เนอร์บราเธอร์อนุมัติโปรเจกต์ให้สร้างหนังเรื่องนี้ต่อภาค 3 ซึ่งนักแสดง 2 คน และผู้กำกับยังเป็นกลุ่มเดิมครบ ส่วนลีลาการสอบสวนเป็นอย่างไร ชื่อตอนอะไร..อย่างนี้ก็คงต้องรอดูกันว่าจะสนุก และมันกว่า 2 ภาคแรกไหมหนอ..

ช่วงท้ายนี้ ผมขอพูดเรื่องอาวุธอย่างน่าตลกแล้วกันนะครับ เพราะในขณะที่มนุษย์เรามุ่งพยายามคิดค้นเทคโนโลยีต่างๆ จนได้มาซึ่งเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยนัยหนึ่งก็เพื่อที่จะยกระดับสภาพ "การมีชีวิต" ทว่าในขณะเดียวกันความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็กลับถูกบางคนนำไปผลิตเป็น "อาวุธ" ที่มีแสนยานุภาพในการทำร้ายทำลายเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่เรากลับเรียกมันว่าการ "พัฒนา" ...จริงไหมเอ่ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น