เทคนิคที่ 1 : การยืนขณะคุยโทรศัพท์
งง ละสิ อย่าครับ อย่าเพิ่งงงไปท่านผู้อ่านหลาย ท่านคงนึก “ประหลาดสิ การยืนคุยโทรศัพท์เกี่ยวอะไรด้วย” แต่ผมขอบอกเทคนิคนี้เกี่ยวกับพลังเสียงเชียวนะ ยิ่งเป็นโทรศัพท์สายสำคัญ อย่างคุยกับบอส หรือคุยกับลูกค้า การยืนนอกจากจะช่วยให้คุณมีสมาธิกับการคุยแล้ว โทนเสียงยังออกเป็นการเป็นงานด้วย “เสียงของคนเราสัมพันธ์กับร่างกายและจิตใจ” ผมขอขยายว่า “เมื่อคุณยืนและแสดงท่าทาง คุณจะมีพลังมากกว่าตอนคุณนั่งเอกเขนกในเก้าอี้” แต่ไม่ใช่ออกลีลาโอเวอร์แอ็คชั่นสุดฤทธิ์สุดเดชนะครับ การแสดงท่าทางมากเกิน คุมอารมณ์ไม่อยู่ เดินไปพูดไป คุณก็จะหายใจเร็วและแรง ทีนี้แทนที่เสียงจะมีพลัง กลับกลายเป็นเสียงหอบเหนื่อย เสียบุคลิก แถมสร้างความน่ารำคาญแก่ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นคู่สนทนาทางโทรศัพท์อีก “ขณะที่ยืนคุยโทรศัพท์ ต้องหายใจเข้าเต็มที่ถึงท้องเลย เวลาพูดก็ปล่อยเสียงออกมาจากช่องท้อง แล้วเสียงคุณจะมีพลัง” ผมขอแนะเทคนิคให้ทำการโปรเจกต์เสียงคล้ายนักแสดงละครเวที ที่ได้ผลเสียงทุ้มทรงพลังกังวานไกลมาแล้วนักต่อนัก
เทคนิคที่ 2 : การแต่งตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ
การแต่งตัวเพื่อเสริมความสำเร็จในหน้าที่การงานไม่ได้หมายความว่า คุณผู้หญิงต้องใส่สูทนุ่งกระโปรงหรอกนะครับ “การแต่งชุดทำงานแบบเชยๆ มีส่วนทำให้คุณดูเหมือนไม่สามารถปรับตัวปรับวิธีคิด พัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองตามองค์กรได้” ท่านศาสตราจารย์ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้บอกไว้ว่า “มันเหมือนเป็นการกัดกร่อนอำนาจหน้าที่ของคุณโดยอัตโนมัติ” ศาสตราจารย์ท่านได้แนะนำเพิ่มเติมว่า การแต่งตัวให้เหมาะสมกับกาลเทศะ จงยึดหลักไม่ลำลองเกิน แต่ก็ไม่โป๊ไป สาวเราต้องลงทุนซื้อเสื้อเชิ้ตคัทติ้งเนี้ยบๆ กับกางเกงทรงหลวม (slacks) เท่ๆ สีสุภาพ ไว้ประจำตู้เสื้อผ้า เพราะแนวนี้ทำให้คุณคล่องตัวในการทำงาน และดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว อ่อ รองเท้าคัทชูสีดำด้วยนะครับ สาวไทยจำนวนไม่น้อยนิยมหนีบรองเท้าแตะเดินไปเดินมาในที่ทำงาน แต่ทะลึ่งใส่ส้นสูงเวลาออกไปเฉิดฉายกินข้างกลางวันนอกออฟฟิศ เฮ้อ! ผิดกาลเทศะอย่างแรงค่ะ เพราะเท่ากับคุณไม่ให้เกียรติที่ทำงานของคุณ ยิ่งใครไปใครมาอย่างลูกค้า หรือแม้กระทั่งพนักงานส่งเอกสาร เข้ามาเห็นคุณลากรองเท้าออกมารับแขกรับของ พวกเขาคงอดรู้สึกไม่ได้ว่า บริษัทแห่งนี้ไร้ระเบียบ ปล่อยให้พนักงานแต่งตัวเหมือนอยู่บ้าน แล้วจะเชื่อถือมั่นใจในความเป็นมืออาชีพขององค์กรได้ไง
เทคนิคที่ 3 : กล้าสบสายตา
ไม่ว่าคุณกำลังนำเสนอผลงานในห้องประชุม หรือกำลังเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ (suppliers) คุณต้องไม่หลบสายตาฝ่ายตรงข้าม คุยกันสองต่อสอง จงมองสบสายตากับคู่สนทนาซะ ในห้องประชุมที่มีผู้ฟังจำนวนมาก ก็ต้องสื่อสารกวาดสายตาให้ทั่วถึงทุกคน “การสบสายตาบ่งบอกว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดอยู่นั้นมีความสำคัญ และบุคคลที่คุณกำลังสนทนาด้วยเป็นคนสำคัญ” มีนักประชาสัมพันธ์เผยคุณประโยชน์ของเทคนิคสบสายตา “ผู้คนจะจำคุณได้ก็ต่อเมื่อพวกเขารู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญต่อพวกเขา”
เทคนิคที่ 4 : การทำตัวเองให้เป็นที่เห็นชัดในห้องประชุม
ครั้นถึงเวลาถูกเรียกเข้าประชุมครั้งใด หลายคนมักแอบนั่งหลบมุม ไม่ยอมเอ่ยวาจาใดๆ เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาจด ถ้าคุณเป็นเลขาผู้มีหน้าที่จดบันทึกการประชุมก็ว่าไปอย่าง ทว่าหากเป็นคนทำงานมืออาชีพ นอกจากไม่ควรหนีไปหย่อนก้นใกล้ประตูทางออกแล้ว คุณต้องกล้าลุกขึ้นยืนเมื่อแสดงความคิดเห็นด้วย “คุณต้องยืนให้บ่อยเท่าที่เป็นไปได้” ผมแนะนำให้ยืนทุกวาระ ไม่ว่าตอนที่มีเพื่อนร่วมงานมายืนที่โต๊ะคุยกับคุณ คุณก็ควรลุกขึ้นยืนสนทนากับเขา ไม่ใช่ปล่อยให้เขายืนค้ำศีรษะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องประชุม "เวลาคุณแสดงความคิดเห็น การลุกขึ้นยืนจะทำให้ทุกคนหันมามองและเห็นคุณ แล้วคุณจะโดดเด่นขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ” ทั้งนี้ ‘เสียง’ ต้องไม่สั่นนะครับ มิฉะนั้น ‘แป้ก’ !
หากเสียงสั่นแล้วก็กลับไปเทคนิค1 ฝึกโปรเจกต์เสียงให้ออกมาช่องท้องช่วยคุณได้
ทุกเทคนิค ขอให้นำไปทดลองใช้ เพราะภาพลักษณ์นั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับประชาสัมพันธ์ แผนกต้อนรับ หรือผู้บริหารด้านบุคคล คนเหล่านี้มีโอกาสต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับบริษัท จึงมีส่วนสำคัญอย่างมาก หากต้องการประสบความสำเร็จจากการดูก่อนการพูดคุยแล้วหล่ะก็ ควรต้องทำนะครับผ้ม..


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น