วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

หนังจีน (รีเมค) ที่น่าดู

คำว่า " รีเมค " หรือนำกลับมาทำใหม่ ถูกใช้กันมากขึ้น เพราะด้วยไม่มีแนวคิดอะไรใหม่ หรือขี้เกียจคิดไปหรือไม่ ผมไม่อาจรู้ได้กับผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และผู้เขียนบทคิดอย่างไร ทั้งๆ ที่หนังบางเรื่องยังไม่เก่าเลย ก็นำมารีบูท (จับมาทำซ้ำ มาเรียบเรียงขยายความใหม่) เสียแล้ว ซึ่งตอนที่จะเขียนนี้ก็เป็นหนังที่ขอเรียกว่ากึ่งรีเมค ที่เรียกว่ากึ่งรีเมค เพราะไม่ได้ใช้ชื่อหนังใหม่ แต่เนื้อหาเป็นตอนต่อยอดใหม่จากตอนเดิม ชื่อหนังคือ "พยัคฆ์ ตะลุย พยัคฆ์” หรือ Flying Swords Of Dragon Gate เป็นหนังจีนกำลังภายใน ที่ผมมีโอกาสได้ดู เป็นผลงานฝีไม้ลายมือของคนเก่าคนแก่ ชื่อคุ้นเคยอย่างกันดีอย่าง “ฉีเคอะ” พร้อมจุดขายการเป็นหนังกำลังภายในสามมิติเรื่องแรกของโลกกันเลยทีเดียว อ่านแล้วรู้สึกไหมว่า น่าสนใจ สำหรับผม คอหนังจีนคนหนึ่ง บอกได้ว่า ก็น่าสนใจดี แต่อันที่จริงแล้วความน่าสนใจของงานชิ้นนี้ไม่ได้อยู่กับจุดขายเรื่องความทันสมัยของเทคนิคทางภาพแต่อย่างใด แต่เรื่องการพาคนดูย้อนกลับไปหาบรรยากาศเก่าๆ ของหนังกำลังภายในต่างหาก สำหรับหนังชุด Dragon Gate ถือว่าไม่ใช่ของใหม่แกะกล่องในโลกกำลังภายใน แต่เป็นหนังสุดคลาสสิกเรื่องหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ของงานประเภทนี้เลยก็ว่าได้

หนังเรื่องนี้ต้นฉบับเป็นงานของ “คิง ฮู” หรือ “หูจินฉวน” ที่ถูกออกฉายเมื่อปี 1967 ภายใต้ชื่อภาษาไทยว่า “ตะลุยแดนพยัคฆ์” (ผมไม่มีโอกาสได้ดู) และประสบความสำเร็จอย่างสูง จนถูกฉีเคอะนำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้งในปี 1992 ด้วยชื่อว่า New Dragon Gate หรือ “คัมภีร์แดนพยัคฆ์” (ผมมีโอกาสได้ดู ขอบอกว่าสนุกมาก) ในบ้านเรานัยว่าผู้จัดจำหน่ายในเมืองไทย คงหวังสานต่อความสำเร็จจาก “เดชคัมภีร์เทวดา” ที่กำลังดังอยู่ในช่วงนั้น แม้จะถูกเรียกว่าเป็นหนังรีเมค (ปี67, ปี92) แต่หนังฉบับเก่าทั้งสอง 2 เรื่องก็ไม่ได้มีเนื้อเรื่องตรงกันเสียทีเดียว รายละเอียดต่างๆ แตกต่างกันในหลายจุด แต่โดยรวมแล้วมีองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกัน กับฉากหลังในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ในเขตทะเลทราย แหล่งพักพิงก่อนออกด่านอันแร้นแค้น ในเรื่องราวที่ว่าไปถึงยุคสมัยราชวงศ์หมิงที่ขันทีเรืองอำนาจ เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ตัดสินใจ รวบรวมผู้กล้า ในภารกิจช่วยเหลือทายาทผู้รอดชีวิต ของข้าราชการตงฉิน ที่ถูกสั่งฆ่าล้างโคตร ให้หลบหนีออกนอกด่านทาง “ประตูมังกร” สำหรับฉบับของ หูจินฉวน นั้นโดดเด่นด้านเทคนิคการถ่ายทำที่ล้ำสมัย, การถ่ายทอดทัศนียภาพธรรมชาติได้สวยงาม และฉากต่อสู้ที่เหมือนหลุดออกมาจากหน้านิยายกำลังภายใน เป็น 1 ใน "ไตรภาคโรงเตี๋ยม" ของ หูจวินฉวน ที่ยังประกอบไปด้วยหนังอีก 2 เรื่องได้แก่ Come Drink With Me (หงส์ทองคะนองศึก) และ The Fate of Lee Khan ที่ก็ถือว่าสุดยอดเป็นงานระดับคลาสสิกทุกเรื่อง

ส่วนฉบับของ ฉีเคอะ มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดด้านเนื้อเรื่องไปบ้าง โดยเลือกที่จะไปเน้นเรื่องรักสามเส้าระหว่าง จอมยุทธ์หนุ่มผู้ทรงคุณธรรม, จอมยุทธ์สาวหญิงคนรักของเขา และเถ้าแก่เนี้ยแห่งโรงเตี๋ยมมังกร เป็นหลัก เป็นงานที่ทำออกมาสนุกดี มีคิวบู๊มันส์แบบหนังกำลังภายในยุค 90s ดาราหญิงทั้ง จางม่านอวี้ และ หลินเชิงเสีย ก็โดดเด่นมาก ส่วนยอดนักบู๊ เจินจื่อตัน ที่พลิกบทบาทมาแสดงเป็น ขันที จอมโหดก็ขโมยซีนไปไม่น้อย แม้จะปรากฏตัวเพียงตอนต้น และท้ายเรื่องเท่านั้น เป็นงานที่มีคนบอกว่าสนุกลงตัวกว่า เดชคัมภีร์เทวดาเสียอีก ในตอนแรกมีข้อสงสัยอยู่ไม่น้อยเหมือนกันครับ ว่า Flying Swords Of Dragon Gate จะออกมาอีท่าไหนกันแน่ เป็นงานรีเมคอีกครั้ง? รีเมกหนังฉบับไหน หรือถ้าเป็นภาคต่อจะต่อจากฉบับไหนกันแน่? ตัวของฉีเคอะเองก็อธิบายแบบงงๆ ว่าหนังจะเป็นการ "Re-imagine" งานต้นฉบับของ หูจินฉวน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว Flying Swords Of Dragon Gate ก็คือหนังที่เป็นภาคต่อเนื่องจากฉบับปี 1992 ของฉีเคอะเองนั่นแหละ

หนังเริ่มต้นเรื่องราวด้วยการกล่าวถึงจอมยุทธ์หนุ่ม “จ้าวฮวยอัน” ศัตรูอันดับ 1 ของเหล่าขุนนางกังฉิน โดยเฉพาะเหล่าขันทีที่ครองความเป็นใหญ่อยู่ในวังหลวง ที่เขาเด็ดหัวทิ้งไปหลายราย จนเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาในหมู่ขันที ถึงขั้นพยายามตามล่าเพื่อหวังกำจัดยอดฝีมือรายนี้ให้ได้ ในเวลาเดียวกันยังเกิดความวุ่นวายในวังหลวง เมื่อนางกำนัลคนหนึ่ง เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา สร้างความไม่พอใจให้กับสนมคนโปรด ที่สงวนสิทธิ์การให้กำเนิดรัชทายาทของฮ่องเต้ไว้กับตัวเองเพียงเท่านั้น หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการหลบหนีออกจากนอกวัง

โชคชะตาได้นำพาให้ จ้าวฮวยอัน ได้เดินทางกลับไปที่ โรงเตี๋ยมมังกร อีกครั้งเพื่อการคุ้มครองนางกำนัลท้องแก่ จากเหล่าสมุนของขันทีโหดคนสนิทของสนมเอก แต่สถานการณ์กลับวุ่นวายขึ้นไปอีก เมื่อโรงเตี๋ยมในเขตชายแดนกลับดึงดูดผู้คนมากมายมารวมกัน ทั้ง องค์หญิงสุดห้าวจากเผ่าตาด, นักเดินทางปริศนา และ จอมยุทธ์หญิงที่สวมรอยเป็น จ้าวฮวยอัน และยื่นมือให้ความช่วยเหลือนางกำนัลผู้โชคร้ายอีกคน ในช่วงเวลาที่กำลังจะเกิดพายุทะเลทรายครั้งใหญ่ขึ้น อย่างที่บอกเอาไว้ว่า Flying Swords Of Dragon Gate คือภาคต่อเนื่องของ Dragon Inn ฉบับปี 1992 แต่ก็เป็นภาคต่อที่เชื่อมโยงกันแบบ "หลวม ๆ" เท่านั้นนะครับ มีตัวละครจากภาคก่อนปรากฏตัวในหนังภาคนี้เพียง 2 ตัวละครเท่านั้น เรื่องราวก็ไม่จำเป็นต้องดูหนังฉบับเก่ามาก็สามารถเข้าใจเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าดูหนังจะฉบับ 1992 มาก่อนก็อาจจะมีอะไรประทับใจมากขึ้นนิดหน่อย จากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หนังสองภาคเชื่อมโยงกัน

โดยภาพรวมแล้วผมพอใจใน Flying Swords Of Dragon Gate นะครับ หนังเล่าเรื่องได้น่าติดตาม มีมาตรฐานงานสร้างที่น่าพึงพอใจเทียบเคียงกับหนังโปรดักชั่นแผ่นดินใหญ่ได้สบายๆ ทีมนักแสดงร่วมงานกันได้อย่างเข้าขา ฝ่ายหญิงนั้นโดดเด่นอยู่แล้ว โจวซวิ่น เป็นจอมยุทธ์หญิงผู้เงียบขรึมเหมือนเป็นส่วนผสมของตัวละครของทั้ง จางม่านอวี้ และ หลินชิงเสีย ในอดีตดาราสาวตาปรือ กุ้ยหลุนเหม่ย พลิกบทบาทมาแสดงเป็นตัวละครองค์หญิงแห่งพวกคนเถื่อนเผ่าตาดได้บ้าบอดี, เมวิส ฟาน ก็สวมบทเป็นนางกำนัลท้องแก่ขี้โรค ได้อ่อนแอน่าสงสาร, ส่วนนักร้องสาวที่โด่งดังจากรายการประเภทประกวดประขันร้องเพลงของเมืองจีน หลีอี่ว์ชุน เป็นจอมยุทธ์หญิงห้าวที่แต่งตัวเป็นชาย แม้แต่สาวเซ็กซี่ จางซิ่นหยู ที่ปรากฏตัวกับบทเป็นเล็ก ๆ เป็นนางสนมคนโปรดของฮ่องเต้ก็ดูร้อนแรงน่าสนใจดี

ผู้กำกับฉีเคอะ นั้นขึ้นชื่อในการปั้นตัวละครหญิงให้โดดเด่นมีเสน่ห์อยู่แล้ว ซึ่งในหนังเรื่องนี้ก็มีผู้หญิงในแบบต่าง ๆ ของฉีเคอะให้ดูกันแทบทุกสไตล์เลย ส่วนฝ่ายชายที่โดดเด่นเป็นพิเศษเห็นจะเป็นดาราหนุ่มหล่อผิวเข้ม เฉินคุน ที่มีเซอร์ไพรซ์กับการสวมบทเป็น 2 ตัวละคร หนึ่งคือขันทีโหดตัวร้ายของเรื่อง และยังควบบทจอมยุทธ์หนุ่มฉายา "กระบี่ลมกลด" จอมกะล่อนด้วย เรียกว่าเป็นสีสันสำคัญของหนังโดยเฉพาะในส่วนของเสียงหัวเราะกับการแสดงที่ยิงมุขเล่นบทตลกได้อย่างลื่นไหลจริงๆ ที่ดูจืดชืดก็เห็นจะเป็นบทพระเอกของ หลี่เหลียนเจี๋ย เรียกว่าสานต่อความจืดจางจาก เหลียงเจียฮุย จากหนังปี 1992 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนั้นด้วยความเป็นหนังประเภทดวลกระบี่เน้นเทคนิคพิเศษ ตลอดทั้งเรื่องจึงไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ เจ็ท ลี ได้โชว์ทักษะด้านคิวบู๊ อันเป็นจุดขายสำคัญของเขาเท่าไหร่ด้วย

พูดกันถึงเรื่องคิวบู๊ ต้องยอมรับว่าน่าผิดหวังนิดหน่อยครับ ที่ Flying Swords Of Dragon Gate ดูจะต้องการโชว์ภาพ 3-D มากไปซักหน่อย จนฉากต่อสู้น้อยใหญ่ที่ใส่เข้ามาดูจะเป็นฉากประเภทที่พึ่งพาเทคนิคประเภท CG ไปเสียหมด แม้จะทำออกมาดีกว่าหนังจีนหลายๆ เรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ถึงระดับมาตรฐานของฮอลลีวูด และไร้ความตื่นเต้นถึงอกถึงใจแบบหนังกำลังภายในขนานแท้อยู่บ้าง ถ้าจะให้เทียบกันจริงๆ ก็ต้องบอกว่าถ้านับเฉพาะฉากพะบู๊ล้วนๆ หนังงงๆ ง่วงๆ อย่าง Seven Swords (7 กระบี่เทวดา) ยังทำออกมาได้สนุกกว่า ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าคิวบู๊ของ Flying Swords Of Dragon Gate จะย่ำแย่แต่ประการใดนะครับ เพียงแต่เทียบดีกรีความมันส์สะใจแล้วปกติ ฉีเคอะ จะทำได้ดีกว่านี้

ในภาพรวมคุณภาพงานของ Flying Swords Of Dragon Gate ถือว่าน่าพอใจ, แต่ในหมู่หนังยุคหลังของ "ฉีเคอะ" ทั้งหมดแล้วก็ยังสู้ Detective Dee ไม่ได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ ของหนังในฉบับนี้เห็นจะเป็นเรื่องของบรรยากาศการนำเสนอ ที่พาหนังกำลังภายในกลับไปสู่ความรู้สึกบรรยากาศเดิมๆ อีกครั้งเสียมากกว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมา หนังกำลังภายในกลับมาเป็นสินค้าหลักจากตลาดหนังจีนอีกครั้ง มีงานประเภทนี้ให้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง และยังถูกยกระดับเป็นงานประเภท “สินค้าขึ้นห้าง” ด้วยคุณสมบัติเลิศหรู มีเนื้อเรื่องอันลึกซึ้ง, งานสร้างยิ่งใหญ่ และดาราดังมากมาย จนเป็นที่สนใจสำหรับนักดูหนังทั่วโลก เป็นกระแสที่ถูกจุดขึ้นมาโดย Crouching Tiger, Hidden Dragon (พยัคฆ์ระห่ำ มังกรผยองโลก) ต่อเนื่องด้วยหนังกำลังภายใน 3 เรื่องของ จางอี้โหมว แม้แต่ ปีเตอร์ ชาน ก็ประสบความสำเร็จกับการปรับปรุงรูปโฉมใหม่ให้กับหนังกำลังภายในกับงานอย่าง Wu Xia แต่สำหรับ Flying Swords Of Dragon Gate "ฉีเคอะ" ได้พาเอาหนังกำลังภายในกลับมาสู่จุดที่เคยเป็นมา ไม่ได้พยายามจะพูดอะไรที่สูงส่ง หรือซ่อนความหมายปรัชญาอันยิ่งใหญ่ แต่เลือกที่จะเล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย, สอดแทรกมุขตลกเป็นสีสัน พูดถึงเรื่องความดีเลวอย่างชัดเจน เป็นความติดดินอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนักในหนังแนวกำลังภายในยุคหลังๆ เป็นรสบ้านๆ แบบที่ห่างหายกันไปพักใหญ่ ในมุมที่ต้องการสาระมากของหนังเรื่องนี้ ก็รับประกันได้ว่าสอบผ่านตามมาตรฐานหนังจีน CG อีกเรื่องหนึ่ง ลองไปหามาดูกันนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น