
มาต่อกันเลยครับในเรื่องจูบ ผมขอยกตัวอย่างจูบของ ‘ผู้ชาย’ ในหนังเจ้าปัญหาที่ผ่านมา..โอเค ทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วว่าสมัยนี้ ‘การจูบกัน’ ในหนังกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่นั่นเป็นเรื่องของผู้ชายกับผู้หญิงเท่านั้นหรือเปล่า แล้วถ้าผู้ชายอย่างเราๆ จูบกันบนจอหนังล่ะ...อะไรจะเกิดขึ้น ? ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในตะวันตก หากไม่นับหนังฮอลลีวู้ดอย่าง Brokeback Mountain(2005) ที่เล่าเรื่องของชายรักชายอย่างโจ่งแจ้งแล้ว ฉากผู้ชายจูบกันใน Y Tu Mama Tambien(2001) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า And Your Mother Too หนังโรดมูวี่สัญชาติเม็กซิกันที่เคยเข้าชิงออสการ์สาขาบทดั้งเดิมยอดเยี่ยมมาแล้ว ก็สร้างผลลัพธ์ที่น่าหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษาอยู่ไม่น้อย ฉากจูบที่ว่าเกิดขึ้นในช่วงท้ายของเรื่อง ในขณะที่ 2 ตัวละครหนุ่มวัยคะนองกำลังเมาเหล้าและนัวเนียอยู่กับหญิงสาวรุ่นใหญ่ (ที่พวกเขาก้อร่อก้อติกมาตลอดทั้งเรื่อง) อย่างได้อารมณ์ ทันทีที่เธอย่อตัวลงไป ‘ใช้ปาก’ ให้พวกเขาพร้อมๆ กัน จะด้วยอารมณ์พาไปหรือความเมามายก็แล้วแต่ หนุ่มน้อยทั้งคู่ได้หันหน้าเข้าหากัน และเริ่มต้น ‘จูบ’ กันอย่างดูดดื่มอยู่นานเกือบนาที ฉากดังกล่าวส่งผลให้คนดู(ผู้ชาย)ส่วนหนึ่งลุกหนีออกไปจากโรงแทบไม่ทัน คนดูและนักวิจารณ์หลายฝ่ายต่างหยิบฉากนี้ออกมาโต้แย้งกันว่า ตกลงนี่มันเป็นหนังผู้ชายหรือหนังเกย์กันแน่ เพราะเนื้อเรื่องหลักๆ ได้ทำให้คนดูเข้าใจมาโดยตลอดว่า มันเป็นหนังที่ว่าด้วยแฟนตาซีของเด็กผู้ชายที่ต้องการจะเรียนรู้เรื่องเซ็กซ์จากผู้หญิง แต่จู่ๆ ก็ดันมาหักมุมโดยการให้พวกเขาจูบกันเองในตอนท้ายของเรื่อง ...แล้วอย่างนี้มันแปลว่าอะไร ! ผมคิดว่ามันมีความสับสนระหว่างเรื่องทางเพศ (Sexuality)กับเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก(Sensuality)ผู้ชายจะไม่ยอมให้ตัวเองรู้สึกอะไรๆ กับผู้ชายด้วยกัน เพราะมันจะมีอคติผุดขึ้นมาในหัวโดยอัตโนมัติ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เห็นว่า เราจำเป็นต้องเอาฉากนี้เข้าไปผูกกับความเป็นเพศ ผู้กำกับอย่าง อัลฟ็องโซ กัวร็อง (Alfonso Cuaron)มองว่า ประเด็นถกเถียงไม่ควรยึดติดอยู่กับเพศสภาพของตัวละคร แต่ควรมองว่าตัวละครได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์เหล่านี้มากกว่า
ในบ้านเรา แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นกรณีศึกษาของ ‘รักแห่งสยาม’(อีกแล้ว!)ที่ก่อให้เกิดกระแสตอบรับทั้งในแง่บวกและแง่ลบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในฉาก ‘จูบจริง’ ระหว่างตัวเอกที่เป็นเด็กผู้ชายวัยมัธยมในเรื่องทั้ง 2 คน ที่สร้างจุคพีคให้ทั้งกับตัวเนื้อเรื่องและความรู้สึกของคนดูในโรงไปพร้อมๆ กัน มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ได้ชี้แจงถึงฉากดังกล่าวที่ผ่านมาว่า เราไม่ได้ทำออกมาบนความเพ้อฝันที่ไม่มีเหตุผล ฉะนั้น มันอยู่ที่คนดูแล้วละว่าใจคนดูคิดต่อฉากนี้อย่างไร หากคนดูคิดว่านี่เป็นการแสดงความรักของเด็กที่อาจยังไม่รู้จักมันดีพอ คุณก็อาจจะเข้าใจ รับได้ แต่หากคุณดูแล้วรู้สึกรังเกียจ น่าทุเรศขยะแขยง นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่คุณจะได้ไปจากหนังเรื่องนี้ ฉะนั้น คุณจะนั่งดูต่อหรือว่าจะลุกออกไปจากโรง นั่นก็เป็นสิทธิ์ของคุณ ในขณะที่ วิทยา แสงอรุณ ได้เขียนถึงประเด็นนี้เอาไว้อย่างน่าขบคิดในคอลัมน์ ‘เลิกแอบเสียที’ จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เซกชั่น Metro Life ว่า รักแห่งสยาม อาจเป็นยาขมเม็ดขื่นสุดฝืน ที่คุณคิดว่าถูกบังคับให้กิน ...แต่ที่แน่ๆ รักแห่งสยาม ทำให้คุณผู้ชายหลายคนได้เห็นผู้ชายจูบกันเป็นครั้งแรกในชีวิต และคุณน่าจะขอบใจหนังเรื่องนี้ที่อาจทำให้คุณรู้ว่า เกย์ กะเทย ไม่ใช่เป็นแค่ตัวตลก ดูไร้สาระ ไร้แก่นสาร และน่าสงสาร แต่พวกเขาก็คือคนคนหนึ่งที่มีลมหายใจและรู้สึกได้เหมือนคนทั่วๆ ไป แล้วคุณล่ะครับ คิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร ?

สุดท้ายผมมีหนัง ภาพ โรคร้าย และศิลปะมาฝากที่เกี่ยวกับการจูบแถมให้ เป็นหนังต่างประเทศ ซึ่งมีฉากจูบระหว่างผู้ชายกับ(เด็ก)ผู้ชายเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเซลลูลอยด์ ได้แก่ หนังเรื่อง The Kid ของ ชาลี แชปลิน เมื่อปี 1921 ทราบหรือไม่ครับ ว่า Kiss ในภาษาฮังกาเรียน(ซึ่งมีความหมายว่า ‘เล็ก’)เป็นชื่อสกุลที่แพร่หลายมากตระกูลหนึ่งในฮังการี คนดังส่วนใหญ่ที่ใช้นามสกุลนี้มักจะมีอาชีพเป็นนักกีฬา เช่น นักกรีฑา, นักฟุตบอล และนักกีฬาทางน้ำ เป็นต้น
อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นภาพ ‘จูบ’ ราคาแพงของดัวโน เชื่อไหมครับว่า ‘จูบ’ ก็มีราคากับเขาเหมือนกัน ยกตัวอย่าง เช่น จูบในรูปถ่ายของ โรแบร์ต ดัวโน(Robert Doisneau)ช่างภาพชาวฝรั่งเศสผู้ล่วงลับนั่นยังไง ! เป็นรูปถ่ายขาว-ดำที่ถูกนักวิจารณ์เรียกสั้นๆ ว่า ‘The Kiss’ของเขาเป็นการเก็บวินาทีประทับใจระหว่างคู่รักคู่หนึ่งที่กำลังจูบกันอย่างหวานชื่นอยู่กลางถนนอันพลุกพล่าน ใกล้ๆ กับ Hotel de Ville ในกรุงปารีสเมื่อปี 1950 ซึ่งในเวลาต่อมา มันได้กลายเป็นหนึ่งในภาพถ่ายสุดคลาสสิกแห่งยุคสมัย เมื่อมีคู่รักคู่หนึ่งในรูปออกมาฟ้องร้องต่อศาลในปี 1993 ว่า ดัวโนหาผลประโยชน์จากพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต ช่างภาพคนดังจึงต้องออกมายอมรับว่า ผลงานชิ้นนั้นเป็นการจัดฉากขึ้นมาเองทั้งหมด โดยให้นางแบบที่ชื่อ ฟรังซัวส์ บอร์เนต์ (Francoise Bornet) มาโพสท่าถ่ายรูปจูบร่วมกับแฟนหนุ่มของเธออย่างจงใจ และคดีประวัติศาสตร์ดังกล่าวก็ยุติลงด้วยการที่บอร์เนต์ได้รับกรรมสิทธิ์ในการครอบครองรูปถ่ายต้นฉบับไป ล่าสุดในเดือนเมษายน ปี 2005 หลังจากที่ดัวโน เสียชีวิตไปเป็นเวลากว่า 10 ปี บอร์เนต์ (ซึ่งแก่ลงไปเยอะ!)ก็ได้เปิดประมูลรูปถ่ายต้นฉบับไปในราคาที่สูงถึง 259,000เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งอาจถือเป็นราคาประมูลของภาพถ่ายที่สูงที่สุดในศตวรรษที่ 20 เลยก็ว่าได้ !
‘จูบอันตราย’ ถ้ายังจำกันได้ เนื้อเพลงตอนหนึ่งของบทเพลง I’ll Never Fall In Love Again ของศิลปินสุดคลาสสิกอย่าง The Carpenters บอกกับเราว่า ‘What do you get when you kiss a guy? You get enough germs to catch pneumonia.’ การจูบใครสักคนนั้นมันมีแต่เรื่องแย่ เพราะมีแต่จะติดเชื้อโรคแถมยังมีโอกาสจะเป็นโรคปอดบวมได้ นั่นเป็นเรื่องจริงครับ เพราะการจูบแบบไม่ระวังก็อาจทำให้คุณติดเชื้อจนเจ็บไข้ไม่สบาย แถมยังโดนนินทาว่าร้ายจากคนที่อิจฉาจูบของคุณ หลังจากที่เราได้รวบรวมคำถามที่ผู้ชายหลายคนอยากรู้ (แต่ไม่กล้าถาม) ไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิทแล้ว จึงได้คำตอบว่าในทางการแพทย์อันตรายจากการจูบ โดยเฉพาะการติดเชื้อมีโอกาสต่ำและถือได้ว่ามีอันตรายน้อยมาก แค่เพียงต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการจูบขณะที่มีแผลในปากหรือเป็นหวัดเพื่อลดโอกาสในการเกิดอันตรายหลายประการที่อาจจะตามมา และต่อไปนี้เป็นคำถามที่รวบรวมจากคำถามคาใจของหนุ่มๆ หลายคน (เราลองถามคุณหมอเป็นความรู้ว่า เขาชอบจูบไหม การตอบคำถามแบบนี้ กับคนไข้จะเป็นเรื่องผิดจรรยาบรรณหรือเปล่า คำตอบที่ได้คือ เป็นคำถามที่ตอบได้ แต่จะชอบหรือไม่ชอบก็คงแล้วแต่อีกฝ่าย ไม่ใช่แค่เรา)
ผมขอเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับโรค ‘Kissing Disease’ คืออะไรกันแน่ ?
หลังจากที่ได้ฟังชื่อแล้ว อย่าเพิ่งจินตนาการไปไกลและเข้าใจผิดว่าโรคนี้ช่างโรแมนติกเสียเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะโรคนี้เกิดจากเชื้อ Epstein-Barr Virusที่เป็นโรคคออักเสบชนิดหนึ่ง สามารถติดผ่านกันได้ทางน้ำลาย การจูบกันเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ติดต่อกัน แต่ถึงไม่จูบแต่การใช้ช้อน-ส้อมหรือใช้หลอดดูดน้ำร่วมกับผู้ที่เป็นพาหะก็มีสิทธิ์ติดเชื้อได้เหมือนกัน อาการจะคล้ายๆ ไข้หวัด และรักษาไม่ได้ แต่บรรเทาได้คล้ายๆ ไข้หวัด (ได้ยินแบบนี้แล้วหลายคนขอหันไปจูบต่ออีกหน่อย)
ถ้าบังเอิญเป็นเริมขึ้นมาล่ะ ต้องทำอย่างไร ?
ก่อนที่จะไปทำธุระแบบหลบๆ ซ่อนๆ ที่ร้านขายยา เราน่าจะมาทำความรู้จักโรคนี้กันก่อนดีกว่า คุณรู้ไหมว่าเชื้อเริม (Herpes Infection)ในบริเวณริมฝีปากหรือในช่องคอ ติดต่อได้โดยตรงจากการสัมผัสในช่วงที่มีแผลจากโรคนี้ ผู้ที่ไปสัมผัสถ้ามีรอยแผลที่เชื้อซึมผ่านผิวหนังได้ ก็จะติดได้เหมือนกัน อาการในระยะแรกจะมีตุ่มน้ำใส ทางที่ดีจึงควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อบรรเทาอาการในระยะเฉียบพลัน และป้องกันการแกล้งแหย่ที่คุณอาจจะโดนแซวจากเพื่อนร่วมงาน ตัวร้ายไปตลอดหลายสัปดาห์
เมื่อจูบแล้วมีสิทธิ์ติดไวรัสตับอักเสบหรือเปล่า ? เชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซี ติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์ โอกาสติดกันจากการจูบแทบจะเป็นศูนย์ ส่วนไวรัสตับอักเสบเอ มีเชื้อในทางเดินอาหาร
สรุปว่าการจูบเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีไหม ?
โรคจากการจูบอีกโรคที่กังวลกันมากคือโรคเอดส์ ที่จะติดได้ทางเลือดกับเพศสัมพันธ์เช่นกัน คุณหมอยืนยันว่ามีโอกาสติดทางน้ำลายน้อยมากๆ แต่ต้องพึงระวังในกรณีที่มีแผลในปาก หรือริมฝีปาก ที่อาจมีเลือดปน ซึ่งอาจมีเชื้อปนออกมา
ออรัลเซ็กซ์ (Oral Sex)ไม่อันตรายจริงหรือ ?
เห็นท่าจะไม่จริง เนื่องจาก ออรัลเซ็กซ์เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าการจูบกันธรรมดา เพราะบริเวณอวัยวะเพศทั้งชายและหญิงเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ประกอบกับสารคัดหลั่งในช่องคลอดในเพศหญิง หรือน้ำอสุจิในเพศชาย มีปริมาณเชื้อโดยเฉพาะเชื้อเอดส์สูง ออรัลเซ็กซ์จึงมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง อุบัติเหตุจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์โดยวิธีออรัลเซ็กซ์ไม่ได้สูงมากและไม่เทียบเท่าการมีเพศสัมพันธ์ธรรมดา แต่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย
ศิลปะ Art : Imitation of The Kiss ?
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย รูปวาดดังๆ ที่ใช้ชื่อว่า ‘จูบ’ ของศิลปินเหล่านี้ ก็ยังออกมาคล้ายคลึงกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ...คุณเห็นความแตกต่างของพวกมันบ้างไหมล่ะครับ ?
• The Kiss โดย ฟรานเซสโก ฮาเยซ (Francesco Hayez), อิตาลี, ปี 1859
• The Kiss โดย เอ็ดเวิร์ด มุนช์ (Edvard Munch), นอร์เวย์, ปี 1897
• The Kiss โดย กุสตาฟ คลิมต์ (Gustav Klimt), ออสเตรีย, ปี 1907
เอ่อ...ขนาดประติมากรรมรูปปั้นหินอ่อนที่ชื่อ The Kiss(Le Baiser)ของประติมากรชาวฝรั่งเศสอย่าง ออกุสต์ โรแด็ง(Auguste Rodin)ในปี 1888 ก็ยังมีลีลาการจูบที่คล้ายคลึงกันกับทั้ง 3 ภาพข้างต้นเลยครับ แล้วอย่างนี้มันเป็นเพราะพวกเขาได้รับแรงบันดาลใจในงานศิลปะต่อๆ กันมา หรือว่ารูปแบบการจูบของคนเรามันมีอยู่แบบเดียวกันแน่
อ่านมามาถึงตรงนี้ จูบ ผมเชื่อว่าต้องมีความสำคัญอย่างแน่นอนเป็นที่สุดของชีวิตมนุษย์โลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น