วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จูบ...ใครคิดว่าไม่สำคัญ (1)

มีใครไหมที่ไม่ยอมรับว่าชอบจูบ ยอมรับเสียเถอะว่าคุณ...ชอบจูบ ในช่วงที่กำลังทุลักทุเลอยู่กับจูบแรก มีสักเสี้ยววินาทีที่คุณสงสัยไหมครับว่าทำไมคน 2 คนถึงได้ตกลงปลงใจประกบปากเพื่อจูบและแลกน้ำลายกัน ก่อนที่จะพบว่ามันช่างร้อนแรงและดีอะไรอย่างนี้ !
ผมขอเล่าที่มาที่ไปของจูบให้อ่านโดยยกตอนหนึ่งของบทความ The Kiss : The origin, chemistry, physiology and cultural significance of the kiss ของ bbc.co.uk ได้อธิบายเกี่ยวกับการจูบไว้ว่า หากย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการจูบ นักมนุษยวิทยาหลายคนเชื่อว่าการจูบเริ่มพัฒนามาจากการดมหรือถูจมูกเพราะถูกดึงดูดจากกลิ่นเคมีทางเพศ สัตว์ชนิดต่างๆ จึงทำอากัปกิริยาเหมือนกับว่าพวกมันชอบจูบอย่างคนอย่างยากที่จะปฏิเสธ เช่น การดมและเลียขนของแมวและสุนัข การถูจมูกกันของตุ่น การสัมผัสจมูกกันเบาๆของเต่า นกที่ใช้จะงอยปากคาบหรือช้อนปากของอีกตัวในตอนเช้า และการแตะจมูกกันอย่างน่ารักน่าชังของโลมา

กลับมาที่จูบของคน ลองมาดูกันสิครับว่าใครต่อใครเขาพอใจที่จะจูบกันบ้าง เริ่มกันที่จูบอันซาบซึ้งตรึงใจของโรมิโอกับจูเลียตในบทละครของเช็กสเปียร์ จูบของ แบรด พิตต์ กับสาวริมฝีปากเซ็กซี่อย่าง แองเจลิน่า โจลี่ ที่ทรมานใจทั้งหนุ่มๆ และสาวๆ จูบระหว่างเด็กชาย 2 คนในภาพยนตร์รักแห่งสยามที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการภาพยนตร์บ้านเรา จูบอีกหลายจูบในประวัติศาสตร์ รวมทั้งจูบแบบเลสเบี้ยนของมาดอนน่าบนเวที เพราะฉะนั้น ยอมรับมาเถอะครับ ถ้าคุณจูบแล้วรู้สึกดี เพราะใครๆ เขาก็ชอบจูบเหมือนกัน
1.เริ่มที่ริมฝีปากสุดเซ็กซี่
เพื่อการอยู่รอดทางด้านกายภาพ ในขั้นต้น ริมฝีปากของเราจะขยับเพื่อการบริโภค และในลำดับถัดมาหากเป็นการเข้าสังคม ริมฝีปากจะทำหน้าที่เจรจาเพื่อสื่อสาร ส่วนในเรื่องการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์นั้น ริมฝีปากคู่เดียวกันของคุณจะทำทั้งหน้าที่ดึงดูดและตอบสนองความต้องการ เห็นไหมครับว่าทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นที่ปาก ถ้าคุณเฝ้าสังเกตการทำงานของมันอย่างดี
คุณรู้ไหมว่านอกจาก ‘นม’ ของผู้หญิง และ ‘กล้ามอก’ ของผู้ชาย ขนาดของริมฝีปากมีคุณสมบัติช่วยในการสร้างความดึงดูดทางเพศด้วยเหมือนกัน เพราะทั้งหญิงและชายต่างมองหาคู่จูบที่มีริมฝีปากอวบอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายชายอย่างเราๆ ที่มักจะเป็นฝ่ายเริ่มและมองหาคู่จูบที่มีริมฝีปากสีชมพูระเรื่อและมีริมฝีปากค่อนข้างใหญ่ที่ดูสุขภาพดี นอกจากนี้เจ้าของริมฝีปากจะต้องไม่เม้มปากบ่อยเกินไปซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่ายังไม่พร้อมสำหรับ ‘เรื่องที่ว่า’ นี้ ทำให้เรารู้เพิ่มเติมว่าริมฝีปากที่น่าจูบ นอกจากอวบอิ่มแล้วจะต้องปล่อยสบายและไม่เกร็งจนเกินไป มีนักจิตวิทยาจากยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ หลุยส์วิลล์ เคยกล่าวว่า ถ้าคุณยิ่งมีริมฝีปากที่ใหญ่ก็จะยิ่งดีมาก แต่ถ้าใหญ่เกินไปก็อาจไม่น่าดึงดูดเหมือนกัน สรุปได้ว่าริมฝีปากที่ได้รับความนิยมมากน่าจะมีขนาดกลางๆ ค่อนไปทางใหญ่ แต่ก็มีข้อยกเว้นเหมือนกันสำหรับคนที่เสพติดริมฝีปากเล็กเรียวบาง

ในแง่มุมของเซ็กซ์ ภารกิจสำคัญที่ริมฝีปากต้องทำคือการทำหน้าที่เป็นจุดสตาร์ทและลั่นไกสัญญาณความปรารถนาไปยังสมอง เพราะริมฝีปากเป็นอวัยวะที่เต็มไปด้วยเส้นประสาทที่อ่อนไหวง่าย (และไวต่อการสัมผัสมากกว่าลิ้นเสียอีก) เพื่อบอกกับร่างกายอย่างซื่อสัตย์ในการบอกว่าการจูบในเวลานั้นเป็นการจูบแบบเพื่อนหรือการจูบแบบคนรัก และกำลังเรียกร้องอะไร แต่ถ้ายังไม่เชื่อก็ลองพิสูจน์ดูได้ แล้วลองเฝ้าสังเกตกระบวนการตอบสนองทางร่างกายของคุณเอง ริมฝีปากยังสามารถจูบได้ในหลายตำแหน่งของร่างกาย ไม่ใช่เฉพาะที่ริมฝีปากอย่างเดียวเท่านั้น เช่น หน้าผาก เปลือกตา ซอกหู ลำคอ ไล่ลงมา และมนุษย์เรายังมีพฤติกรรมจูบในสิ่งที่เป็นสิ่งของหรือสัญลักษณ์ที่ตัวเองรักและชอบ เช่น การจูบรูปภาพที่มีความหลัง การจูบเสื้อผ้าเพื่อแสดงความรัก การจูบหินสีดำซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมเพื่อแสดงความเคารพ การจูบถ้วยรางวัลเพื่อแสดงความภูมิใจสูงสุด แม้แต่การจูบพื้นดิน หรือพื้นสนามบินก็ยังมี ! ดูเหมือนว่าริมฝีปากของเราจะเลียบๆ เคียงๆ และพยายามเดินทางไปทุกที่ ซึ่งเป็นอีกหลักฐานสำคัญมัดตัวว่า อย่างไรเสียเราต่างชอบจูบแม้จะในโอกาสที่ต่างกัน

2.ว่าด้วยวิธีจูบ
คุณรู้ไหมว่าหลังจากทดลองจูบกันซ้ำๆ โดยคนหลายกลุ่มจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้เรามีวิธีการใช้ริมฝีปากซึ่งเป็นที่ยอมรับแล้วมากมาย และถึงกับมีโรงเรียนสอนจูบและคอร์สการจูบเพื่อเปิดสอนให้กับคนที่อยากรู้เรื่องทฤษฎีหลายแห่งในต่างประเทศ ในสหรัฐอเมริกา บางหลักสูตรสอนให้คุณรู้วิธีการจูบที่ถูกต้องอย่างแท้จริง และที่ไปไกลกว่านั้นคือขั้นการจูบที่นำไปถึงเซ็กซ์อันศักดิ์สิทธิ์เพราะพวกเขาเล็งเห็นว่าการจูบเป็นเรื่องสำคัญ
ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนจูบ ‘Kissing School’ เริ่มความคิดเปิดโรงเรียนนี้ขึ้นมาจากข้อสันนิษฐานที่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองจะจูบด้วยวิธีไหน ซึ่งบางคู่ลงท้ายด้วยความไม่พอใจในจูบของกันและกัน เพราะในความเป็นจริง การจูบไม่ใช่เรื่องของการที่ว่าแค่เอาปากมาประกบกันแค่นั้น คนบางคนไม่ยอมจูบ หรือจูบแล้วไม่ยอมเปิดปากซึ่งเป็นเรื่องของการพูดคุยและทำความเข้าใจ การไม่มีความรู้เรื่องจูบที่ทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจได้เลย ก็คงไม่ต่างจากความรู้สึกในการอยากกินอาหารอย่างหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะทำหรือกินมันให้อร่อยได้อย่างไร ซึ่งจะส่งผลอย่างมากกับความสัมพันธ์ในอนาคตของบางคู่และบางคนได้ แต่จะดีกว่ามากถ้าได้ลงลึกเพื่อศึกษาไปด้วยกัน เช่นคู่ที่ชอบความโรแมนติกและขี้เล่นระหว่างจูบ อาจลองจูบแบบ ‘Lip-o-suction’ ดูได้ โดยในขณะที่อีกฝ่ายจูบริมฝีปากล่าง อีกฝ่ายก็จูบริมฝีปากบน ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการจูบแบบนี้เป็นสไตล์การจูบของวัยรุ่น และเข้าทางสำหรับคนที่ค่อนข้างขี้เล่น ชอบความหลากหลาย อ่อนโยนและปลอดภัย เพราะไม่มีลิ้นเข้ามาเกี่ยวข้อง และหายใจตลอดเวลาได้ การจูบแบบนี้อาจทำร่วมกันทั้ง 2 ฝ่ายสลับกัน หรือคนหนึ่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้อีกคนเป็นฝ่ายรุกข้างเดียว ถ้ายังนึกไม่ออกคงต้องลองหาหนังเรื่อง The Notebook(2004) หรือ Meet Joe Black(1998) มาเปิดดู

บางคนชอบมาก แต่บางคนก็ไม่ชอบเอาเสียเลยกับการจูบแบบเฟรนช์คิส(French Kiss) หรือการจูบแบบฝรั่งเศส นั่นเป็นเพราะคนที่ชอบจูบในลักษณะนี้ต้องเปิดปากและใช้ลิ้นดันเข้าไปในปากของอีกฝ่าย โดยวนรอบปากผลัดกันรุกและรับไปมา ในกรณีที่คุณหรือคู่ของคุณจูบไม่เป็น การจูบแบบเฟรนช์คิสก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้คุณติดอยู่กับสถานการณ์น้ำลายฟูมปาก ทำลายความปรารถนาอันแรงกล้าของทั้ง 2 ฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัว ถึงมีเหล็กดัดฟันก็จูบได้ (Kissing with Braces) ในขณะที่บางคนคิดว่าการจัดฟันทำให้เป็นอุปสรรคแก่การจูบ แต่หลายคนกลับมองว่าเหล็กดัดฟันช่วยเร้าความสนใจให้กับคู่จูบมากกว่า ยกตัวอย่าง เช่น เหล็กดัดฟันของโดมินิก สเวน (Dominique Swain)ในหนังเรื่อง Lolita(ที่ถูกนำมาผลิตซ้ำๆ)เพราะผู้ชายหลายคนมีความปรารถนาอย่างลึกลับและแรงกล้าที่จะจูบผู้หญิงที่ใส่เหล็กดัดฟัน ซึ่งทำให้รู้สึกถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้น หรือที่เรียกว่า Rejuvenation นั่นเอง คนที่ลองจูบด้วยโจทย์นี้มาแล้วยังแนะนำว่าคุณสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้โดยจินตนาการว่าวัสดุที่อยู่ในปากไม่ใช่เหล็กดัดฟัน แต่เป็นห่วงหรือจิวเวลรี่สำหรับประดับลิ้น และถึงจะไม่มีอันตรายหนักหนาอย่างที่คิด แต่ก็ควรระวังอยู่บ้างเพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดแผลในปากได้ง่าย

นอกจากนี้ยังมีออสซี่คิส(Aussie Kiss) ที่มีความหมายเดียวกันกับออรัลเซ็กซ์(Oral Sex)หรือการทำรักด้วยปาก เรื่องเล็กๆ ที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตคู่ ที่น่าสนใจคือทั้งการจูบและการจูบที่อวัยวะเพศที่สามารถทำได้เหมือนที่อื่นในร่างกายนั้นก็มีปรากฏอยู่ในกามสูตร คัมภีร์ว่าด้วยเพศศึกษาของอินเดียโบราณ หลายคนหลายคู่ตะขิด ตะขวงใจที่จะทำออสซี่คิสเพราะมองว่าเป็นของต่ำ(โดยเฉพาะในบางวัฒนธรรม)และเกรงว่าจะไม่สะอาด ทั้งที่จริงแล้วทั้งคู่สามารถทำได้ดีถ้าได้ลองดูสักครั้ง ทันทีที่มีโอกาส เรานำความคิดเรื่องโรงเรียนสอนจูบไปแลกเปลี่ยนกับ นิวัติ กอง-เพียร เกจินู้ดชื่อดังซึ่งชอบใจกับความคิดนี้ไม่น้อย เพราะมองว่าทั้งเรื่องเซ็กซ์และเรื่องจูบเป็นเรื่องที่จะต้องสอน และถ้ามีโรงเรียนสอนจูบแบบนี้มาเปิดในบ้านเรา เขาคนหนึ่งละ ที่สนใจ เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ในสังคมครั้งใหม่
ผมว่าโรงเรียนสอนจูบเป็นเรื่องที่ดีนะ นั่นแสดงว่าเขายอมรับกันว่าการจูบเป็นธรรมชาติและต้องสอนวิธีกันด้วย มันสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจ เหมือนการมีเซ็กซ์คุณก็ต้องสอนต้องอธิบายมากกว่าวิทยาศาสตร์ให้เขารู้ ไม่ใช่แค่อธิบายว่าเซ็กซ์มันเป็นแบบนี้ หรือว่ามันคืออะไร ไม่ใช่แค่อธิบายว่าเวลาจูบจะมีการหลั่งสารอะไร แต่มันมีความลึกซึ้งและเป็นวัฒนธรรมก็ต้องสอนกัน
3. จูบมีฤทธิ์ สะกิดหัวใจ
ปัดอย่างไรไม่ไหว มันทำฉันให้ไม่สมประดี ทำไมคุณชอบ ตอบฉันหน่อยสิ หรือว่าเป็นประเพณีสำหรับผู้ชาย...ตอนหนึ่งของบทเพลง ‘จูบ’ พิทยา บุณยรัตพันธุ์ ขับร้อง สุรพล โทณะวณิก คำร้อง
ทำไมเราถึงชอบจูบน่ะหรือ คำตอบง่ายๆ ทางวิทยาศาสตร์ คือ จูบทำให้เรารู้สึกดี เพราะตามหลักชีววิทยาแล้ว การจูบ 1 ครั้ง ร่างกายจะผลิตออกซิโทซิน (Oxytocin)ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเครียด การกำจัดความหวาดกลัว และการเพิ่มความเชื่อมั่น ทั้งยังเพิ่มความสามารถในการจับคู่ และกิจกรรมทางเพศที่จะนำคุณไปสู่ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งและโอกาสในการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในเวลาต่อมา! คนที่กำลังจูบหรือตกหลุมรักจึงมีระดับออกซิโทซินในเลือดสูงมากกว่าคนที่อยู่ในอารมณ์ทั่วไป รวมทั้งมีขนาดของม่านตาที่ขยายเท่ากับช่วงเวลาที่เราตกใจ นี่แหละจูบที่เราชอบกัน ในเรื่องของความคิดเห็น ถึงจะไม่มีใครกล้าตอบ หรือตอบแบบกระมิด กระเมี้ยนว่าคุณชอบจูบไหม แต่ นิวัติ กองเพียร เกจินู้ดชื่อดังเป็นคนหนึ่งที่ทำให้คนตั้งคำถามไม่ผิดหวัง นอกจากนี้เขายังเขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับจูบและเรื่องอีโรติกเซ็กซี่หลากหลายเรื่องราวจนมีผลงานรวมเล่มเป็นจำนวนหลายเล่มด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ เพลง ‘จูบ’ ในหนังสือเพลงสังวาส หนังสือรวมบทความที่เขียนในคอลัมน์เชิงสังวาสของนิตยสารศิลปวัฒนธรรม โดยบทความ เพลง ‘จูบ’ ของนิวัตินั้นได้แสดงความชื่นชมเนื้อหาของเพลงที่สื่อถึงความรู้สึกดี ของคนจูบและคนถูกจูบได้อย่างลึกซึ้งถึงใจ เพราะถึงจะเป็นเรื่องส่วนตัวของคน 2 คน แต่ถ้าจูบแล้วดีก็น่าจะบอกต่อหรือเล่าสู่กันฟังได้ แถมยังกลายเป็นเพลงดังประจำไนต์คลับสมัยที่นิวัติยังหนุ่มอีกด้วย

นิวัติ กองเพียร บอกว่าจูบไม่ใช่แค่หน้าที่ของผู้ชายฝ่ายเดียว (อย่ามาโยนความผิดชอบให้กันเด็ดขาด)แต่เป็นเรื่องของทั้ง 2 ฝ่ายมีส่วนได้ส่วนเสียและพึงกระทำกัน ทั้งยังยอมรับว่าเขาชอบจูบมาก ยิ่งเวลามีเซ็กซ์ยิ่งต้องจูบ เพราะถ้าไม่จูบก็เหมือนว่าไม่จบหรือขาดอะไรไป ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่ง จูบจะแสดงออกถึงความสุข ความต้องการ ความสุดยอด และอีกหลายอย่างเวลาเรามีเซ็กซ์ มันเป็นการบอกอีกฝ่ายหนึ่งและเป็นการตอบรับของอีกฝ่าย โดยที่ปากจะทำให้เรารู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรหรือต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นความนุ่มนวลหรือรุนแรง มันบอกจากทางนี้ได้ซึ่งมันเป็นภาษากายหรือ body language ที่สำคัญ ผมไม่รู้นะว่ามีคนไม่ชอบจูบหรือเปล่า แต่ถ้าใครไม่ชอบจูบ ผมว่าผิดปกตินะ เพราะมันเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียกร้องซึ่งใครๆ เขาทำกัน แต่ด้วยวัฒนธรรมของเราอาจไม่เปิดโอกาสให้เปิดเผยได้อย่างฝรั่ง อย่าว่าแต่เรื่องจูบเลย จับมือถือแขนกันในที่สาธารณะก็ยังถูกมอง จะหอมแก้มก็ต้องหลบไปทำกัน 2 คนเงียบๆ ในห้องไม่ให้คนอื่นเห็น ก็เลยถูกเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องเซ็กซ์ไป ทั้งที่จริงๆ แล้วการแสดงออกถึงความรักในครอบครัว จะทำให้ลูกเห็นว่าการจูบมันเป็นเรื่องดี ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์ แต่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

ส่วนในเรื่องเจ้าของริมฝีปากเซ็กซี่และน่าจูบในความคิดของเขา นิวัติไม่ขอตอบอะไรมากเพราะปกติเขามักจะวิจารณ์รูปร่างจากภาพมากกว่าริมฝีปากที่ใช้จูบ ที่เข้าตาก็มี แองเจลิน่า โจลี่ อีกคนหนึ่งนานมากแล้วชื่อ แซลลี เคลเลอร์แมน (Sally Kellerman)ที่เล่นหนังเรื่อง MASH(1972)และในเรื่องเธอมีฉายาว่า ‘Hot Lips’ เรื่องปากผมว่าก็แล้วแต่คนชอบ บางทีไม่ใช่แค่รูปปาก แต่มันขึ้นอยู่กับปากนุ่มปากแข็งด้วย พอถึงเวลาจูบจะให้ความรู้สึกต่างกันเลย รู้แค่ว่าถ้ามีคนมาถามว่าชอบจูบไหม ผมจะบอกว่าชอบจูบ เพราะฉะนั้นขอไม่วิจารณ์ก็แล้วกัน

คำ ผกา หรือ ลักขณา ปันวิชัย นักเขียนชื่อดังใจดีมาแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องจูบกับเราด้วย ยังไม่ทันตอบว่าชอบหรือไม่ชอบ เธอก็เปิดฉากด้วยประสบการณ์จูบจูบ ที่เรียกคนดูให้กลับมานั่งติดเก้าอี้เกาะขอบเวทีฟังกันจนไม่อยากลุกไปไหน เธอเคยเดินกับแฟนเก่าคนหนึ่ง เดินกันไปจูบกันไป มีความสุขมาก เดินถึงสี่แยกไฟแดงแล้วจูบ รอไฟเขียว จูบเสร็จ อ้าว!ไฟแดงอีกแล้ว ก็เลยเริ่มจูบกันใหม่ จูบเสร็จก็เป็นไฟแดงอีก ไม่ได้ข้ามถนนเสียที แต่เป็นความอิ่มเอิบใจ เป็นความขำ เป็นความทรงจำที่ดีด้วย และจูบที่น่ารักอีกครั้งคือ ดิฉันลืมของไว้บนเครื่องบิน พอมาขึ้นรถบัสที่จะเข้าไปในสนามบิน เจ้าหน้าที่ก็กระหืดกระหอบเอาของมาถามว่านี่เป็นของใคร คนทั้งรถก็มองกันเลิ่กลั่ก ดิฉันก็บอกว่าเป็นของดิฉันเอง จากนั้นเราก็ตกเป็นเป้าสายตาคนทั้งรถ ดิฉันก็รู้สึกว่า ขายหน้าจัง ทำไมเฟอะฟะอย่างนี้นะเรา แฟนที่ไปด้วยก็ก้มลงมาจูบที่ปากเบาๆ เหมือนเป็นการปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรนะ ไม่มีอะไรสักหน่อย” แค่นี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่าจูบนี้มีความหมายมาก และนี่คือสิ่งที่คนรักมีให้กัน คือการบอกว่า ผมจะอยู่ข้างๆ คุณ ไม่ว่าคุณจะเฉิ่มเบ๊อะและทำให้ผมขายขี้หน้าอยู่เรื่อยๆ ในฐานะคนที่ชอบจูบและในฐานะของคนที่รับวัฒนธรรมฮอลลีวู้ดมาเต็มๆ คำ ผกาบอกว่าเธอชอบการจูบที่ดูดดื่ม และมองว่าเซ็กซ์ที่ไม่จูบคงดูชืดชา แห้งแล้ง และพิลึกเกินไป ส่วนเรื่องของวัฒนธรรมไทยที่หลายคนบอกว่ามองเรื่องจูบเป็นปรากฏการณ์ ‘ปากว่าตาขยิบ’ หรือหน้าไหว้หลังหลอกนั้นคำ ผกา บอกว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจและยอมรับความหลากหลายที่มีอยู่จริง
“ไม่ใช่เรื่องความหน้าไหว้หลังหลอก แต่จูบอาจจะเป็นเรื่องวัฒนธรรมของคนตะวันออก ทางเอเชียแถบบ้านเรามีวิธีคิดต่อร่างกายอีกแบบหนึ่ง เราจะไม่แสดงความรักด้วยวิธีการสัมผัสร่างกายมากนัก การทักทายด้วยการไหว้ก็มีระยะห่างของร่างกายพอสมควร เรามีความสูง-ต่ำที่กำหนดต่ออวัยวะส่วนต่างๆ เช่น หัวเป็นของสูง เท้าเป็นของต่ำ ฝรั่งอาจจะชอบจูบเท้าแฟน แต่ผู้ชายไทยหัวโบราณจะให้ก้มไปจูบเท้าเมีย หรือดูดหัวแม่เท้าผู้หญิงเพื่อปลุกอารมณ์ก็คงมีน้อย ฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Wayward Cloud ที่นางเอกคีบบุหรี่ไว้ที่นิ้วเท้าแล้วป้อนให้พระเอกสูบนั้นอีโรติกมากสำหรับคนอย่างเรา แต่คนที่ติดในเรื่องลำดับชั้นของอวัยวะของร่างกาย คงรับไม่ได้ที่จะมีใครเอาตีนคีบบุหรี่มาให้สูบ จริงไหม?”
ส่วนการจูบเป็นแค่ประเพณีสำหรับผู้ชายอย่างในเพลง ‘จูบ’ หรือเปล่า (ซึ่งในที่นี้หมายความถึงชอบจูบเพียงเพราะหน้ามืดด้วยเคมีในร่างกายและไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของความรักความผูกพันอย่างฝ่ายหญิงเท่าที่ควร)คำ ผกา เธอได้ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ทฤษฎีนี้ก็มาอีหรอบเดียวกับพวกที่เชื่อว่าผู้หญิงและผู้ชายมาจากดาวคนละดวง แล้วชอบใส่ร้ายผู้ชายว่าเป็นมนุษย์ที่ขาดหัวจิตหัวใจ ใช้แต่เหตุผลและความหื่นนำหน้า ซึ่งดิฉันเห็นว่าไม่ยุติธรรมต่อฝ่ายชายเท่าๆ กับทฤษฎีที่ว่าผู้หญิงขับรถห่วยและไม่มีไหวพริบเรื่องทิศทางนั่นแหละค่ะ ดิฉันว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายคงจูบกันด้วยหลายเหตุผล ต่างกรรม ต่างวาระ บางทีลองจูบเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย จูบเพื่อจะได้รู้ว่าจังหวะเคลื่อนไหวของร่างกายพอจะกลมกลืนไปด้วยกันได้ไหม หรือจูบเพราะเมาก็คงมีบ้าง จูบเพราะหื่นกระหาย หน้ามืดก็คงมีบ้างทั้งหญิงและชายเป็นเรื่องธรรมดา”
ว้าเสียดายจบตอนนี้ไปซะแล้ว ผมมีต่อตอน 2 อ่านได้ครั้งหน้านะครับท่าน..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น