วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หิน อีก 1 หนทาง(เลือก)บำบัด


สัวสดี..เช้าวันอังคารที่แสนสดใส ต้อนรับการเปิดเทอมอีกครั้งหลังจากน้ำได้ท่วมไปนาน ในเช้าวันนี้ผมขอพาคุณไปเจาะลึกถอดรหัสความเชื่อในเรื่องนี้ หินบำบัดอีกหนึ่งความเชื่อที่หลายคนกล่าวถึง และให้ความนิยม ทั้งนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับ หรือพกไว้ใกล้ตัว ด้วยความเชื่อที่ว่าจะช่วยบำบัดรักษาอาการของโรคภัยบางอย่างได้ ! เรื่องราวของความเชื่อนี้มีที่มาอย่างไร“หิน” จะสามารถรักษาโรค หรือบำบัดอาการป่วยได้จริงหรือ และหินที่มีหลากหลายชนิดนั้น ชนิดไหนกันล่ะ ที่จะมีพลัง นำมาบำบัดรักษาโรคได้บ้าง จากที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ หินบำบัด ท่านอยู่ในวงการหินบำบัดมานานหลายปี แถมยังจบการศึกษาเฉพาะด้านหินจากประเทศออสเตรเลีย และประเทศเยอรมนี(อันนี้ก็ทำให้แปลกใจมากว่ามีศาสตร์นี้ด้วย)ท่านจึงมีเรื่องราวของหินหลากหลายแง่มุม ฝากผมมาเขียนเล่าให้ฟังเพียบ เมื่อเป็นเรื่องของความเชื่อ ผมจึงต้องขอย้ำกันไว้ (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะ)

ที่มาของหินบำบัดนี้ ต้องขอเริ่มจากคำถามที่ว่า..ทำไมเราต้องนำหินมาบำบัดรักษาคนได้ ก็เพราะหินมีอายุเยอะ กว่าจะเกิดเป็นหินได้ต้องใช้เวลาหลายพันปี และหินจะประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งแร่ธาตุที่แตกต่างกันนี้เอง ทำให้หินในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ในตัวของหินจะประกอบไปด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แหละ เหมือนมนุษย์เลย มนุษย์ก็ประกอบไปด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยความที่หินต้องเจอทั้งสายลม แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ รังสีต่างๆ เลยทำให้หินมีคลื่นพลังที่ดีเช่นเดียวกับมนุษย์ มนุษย์ก็มีคลื่นพลังในร่างกาย คลื่นพลังงานของหินและมนุษย์ จึงสื่อสารถึงกันได้ ดังนั้นเมื่อนำหินมาวางบนร่างกาย คลื่นพลังงานของหิน ซึ่งจะเป็นคลื่นอ่อนๆ ก็จะสามารถส่งเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ได้ รวมไปถึงแร่ธาตุบางอย่าง ที่มีอยู่ในหินก็นำมาบำบัดร่างกายได้ จากสาเหตุนี้ จึงมีคนเอาหินมาบำบัด หรือรักษาโรคมาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น ประเทศอินเดียในอดีต เคยมีการจดบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งเกิดโรคบิดระบาดทั่วประเทศ จึงได้มีการนำมรกต มาบดผสมกับมะนาว แล้วให้คนทานเข้าไป เมื่อทานแล้วคนก็หายจากโรค หรืออย่างในประเทศอียิปต์ ก็เคยมีการจดบันทึกไว้ว่า การนำหินสีน้ำเงินที่ชื่อ ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) มาบดแล้วทาที่ตา จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตา ปัจจุบันเลยมีคนนำเอาหินชนิดนี้ไปผสมไว้ในอายแชโดว์ (Eyes Shadow) เพื่อให้ช่วยเรื่องการบำรุงดวงตา หรืออย่างการนำเอาพวกปะการัง มาทำที่เสียบแปรงสีฟัน หรือเอาหินบางชนิดมาทำถ้วยที่ใช้บ้วนปาก แปรงฟัน แล้วช่วยรักษาโรคเหงือกและฟันได้ เหล่าก็มีการจดบันทึกเอาไว้ทั้งนั้น กระทั่งปัจจุบันก็มีการนำเอาภูมิปัญญาเรื่องหินนี้กลับมาใช้อีก

เรื่องความเป็นมาของการใช้หินบำบัดรักษาโรคนั้นมีมาตั้งแต่อดีต
บำบัด ได้ผลดีกับโรคทางใจ
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหินบำบัด ระบุว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว หินใช้เยียวยาโรคที่เกี่ยวข้องกับสภาวะจิตใจได้ดี ที่สำคัญยังแนะนำด้วยว่า ควรใช้หินบำบัด ควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบัน “โรคส่วนใหญ่ที่ใช้หินบำบัดมักจะเป็นโรคทางใจ ไม่ใช่โรคทางกาย อย่างอาการเครียด ปวดหัว นอนไม่หลับ อกหัก รักเป็นพิษ แบบนี้จะเป็นโรคที่เห็นชัดเจนว่าหินบำบัดได้ หรืออย่างเช่น ในคนที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เมื่อมาใช้หินบำบัด เราจะบอกไว้เลยว่า หินไม่ได้รักษาให้มะเร็งหาย แต่หินจะช่วยบำบัดใจให้ลุกขึ้นสู้เท่านั้น ซึ่งแม้จะไม่ได้ช่วยรักษาที่ตัวร่างกายแบบเห็นได้ชัด แต่เรื่องของการรักษาจิตใจนั้นสำคัญมาก เพราะพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า ‘ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ เพราะฉะนั้นถ้าเราบำบัดจิตใจของผู้ป่วยให้ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น เขาอาจจะมีแรงใจที่ดี ที่จะทำให้ต่อสู้กับโรคร้ายได้ แต่เราก็จะบอกเสมอว่า การใช้หินในการบำบัดโรคนี้ ให้ใช่ร่วมกับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน คือให้หินช่วยในเรื่องเสริมจิตใจให้ดีขึ้น พอจิตใจดีร่างกายก็จะได้ดีขึ้นตาม”

กูรูเรื่องหินย้ำด้วยว่า หากต้องการให้ การใช้หินบำบัดโรคได้ผลดี สิ่งสำคัญประการแรกคือ ผู้ใช้ต้องมีความเชื่อเสียก่อน เวลาที่เราจะใช้หินบำบัดเราต้องเชื่อก่อน อย่างเช่นตัวผู้เชี่ยวชาญเอง ครั้งแรกที่ตัดสินใจไปเรียนการบำบัดด้วยหิน เพราะตอนนั้นตัวเองเป็นโรคเกี่ยวกับเม็ดเลือด ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดค่อนข้างสูง แล้วเราก็เชื่อเรื่องของพลังก่อน พลังอะไรก็ได้ในโลกนี้ เราจะเรียน แล้วครูฝรั่งเขาพูดตอนที่เราจะไปเรียนว่า ‘ไม่มีใครตอบได้ว่าคุณจะหายจากโรคหรือไม่ แต่มันจะเป็นไปได้ ถ้าคุณเชื่อมัน’ ฉะนั้นเรื่องแบบนี้ ถ้ามีคนสองคน ป่วยเหมือนกัน คนหนึ่งมาด้วยความเชื่อสุดๆ ฉันไม่รู้จะเชื่ออะไรอีกแล้ว ไม่มีความหวัง เชื่ออันนี้แหละ ในขณะที่อีกคน มาแบบ ไม่ได้มีความเชื่ออะไร เขาก็ไม่หายนะ แต่อีกคนที่เชื่อ อาการกลับดีขึ้นราวปาฏิหาริย์ เพราะบางทีมันแค่คลิกนิดเดียวเอง พอจิตปลดปล่อยพันธนาการไปแล้ว ความเจ็บป่วยมันก็ดีขึ้น หลังอธิบายเรื่องของหินบำบัดจนกระจ่างแล้ว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหินจึงแนะนำหินบำบัด ที่มีพลังโดดเด่น และเป็นที่นิยมในปัจจุบันมาให้เราได้รู้จักกัน ดังนี้

หินสีเขียว
“หินสีเขียว เช่นหินที่มีชื่อว่า ฟลูออไรต์ (Fluorite) จะมีคุณสมบัติในการบำบัดขา เข่า กระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ อย่างในอดีตมีการบันทึกว่า ถ้าปวดขา ปวดเข่า ก็สามารถใช้หินนี้ในการบรรเทาอาการปวดได้ หินฟลูออไรต์ จะมีสีเขียวเข้ม สีม่วงนิด ขาวหน่อย เขียวอ่อนอีกหน่อย อยู่ในเนื้อเดียวกัน สิ่งที่ทำให้เห็นว่าหินชนิดนี้มีพลังในการบำบัดได้ ชัดที่สุดคือ การนำฟลูออไรด์ มาสกัดเป็น สารฟลูออไรด์ (Fluoride)แล้วผสมในยาสีฟัน นั่นก็เป็นเพราะแร่ธาตุชนิดนี้มีคุณสมบัติในการบำรุงกระดูกและฟัน หินชนิดนี้เป็นที่นิยม และเมื่อนำมาใช้จะเห็นผลค่อนข้างชัด เช่น หากมีอาการปวดขา ปวดเข่า หากมีหินฟลูออไรด์ก้อนใหญ่ สามารถ นำหินนั้นไปแช่ทิ้งไว้ในอ่างน้ำสัก 10-30 นาที แล้วเอาเท้าลงไปแช่ ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดขา ปวดเข่าได้

ไหมทอง
ไหมทอง คือ ควอทซ์ (Quartz) ใส ที่มีเส้นใยอยู่ข้างใน ถ้ามีเส้นใยสีทอง เราเรียก ‘ไหมทอง’ ถ้ามีสีดำ จะเรียก ‘ไหมดำ’ เรียกตามสีเส้นใยของมัน สำหรับไหมทองนี้ คนมักเชื่อในเรื่องนำพาทรัพย์สิน โชคลาภ เรียกเงิน เรียกทอง แต่จริงๆ แล้ว ในไหมทองนี้จะมีตัวแร่ธาตุที่มีพลังงานสูงในการดูดพลังด้านลบออกจากร่างกาย ที่อาจารย์จะนำมาใช้บ่อยมาก คือ ในคนที่เป็นมะเร็ง หรือว่าป่วยหนัก เช่น เป็นโรคไต ที่ต้องใช้เวลารักษานานๆ ซึ่งโรคเหล่านี้เราเชื่อว่า มีพลังด้านลบอยู่ในตัวผู้ป่วย ทั้งจิตที่คิดในด้านลบ และสิ่งอื่นๆ ที่เป็นพลังด้านลบ หินไหมทองก็จะช่วยดูดพลังด้านลบออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายเขาแข็งแรงขึ้น แล้วก็มีคนใช้ได้ผลเยอะ เหนืออื่นใด คลื่นพลังเหล่านี้มันทำให้เซลล์ร้ายในร่างกายแตกตัวกัน เช่น หากเรามีเซลล์มะเร็ง เป็นแค่ส่วนเล็กๆ แล้วมันกระจายอยู่ทั่วไปตามร่างกาย มันไม่เกาะตัวกัน ร่างกายก็จะไม่เป็นอะไร แต่เมื่อไหร่เซลล์ร้ายเหล่านั้นวิ่งมารวมในจุดเดียวกัน มันก็จะกลายเป็นเนื้อร้าย ดังนั้นไหมทองจะทำให้เซลล์ร้ายแตกตัว ไม่มาอยู่รวมกัน อีกตัวที่โด่งดังในบ้านเราคือ ไหมดำ หรือที่รู้จักกันคือ ‘แก้วขนเหล็ก’ ที่มักเชื่อกันว่าสามารถปกป้องสิ่งไม่ดีต่างๆ คุ้มกันภัยจากภูตผีวิญญาณ ซึ่งจริงๆ ไหมดำ ก็มีคุณสมบัติเหมือนกับไหมทองเลย คือช่วยดึงดูดพลังด้านลบ

หินสีแดง และหินสีส้ม
หินสีแดง และหินสีส้ม คุณสมบัติของหินสองสีนี้จะ ใกล้เคียงกัน หินสีแดง เช่น หิน เรด แจสเปอร์ (Red Jasper) จะช่วยเรื่องบำรุงเลือด คนที่เลือดน้อย ร่างกายอ่อนเพลีย ระบบไหลเวียนโลหิตไม่ดี รวมถึง ประจำเดือนมาน้อย ตัวซีด ตัวเหลือง พวกนี้จะบำบัดได้ดี แต่หินชนิดนี้ก็มีผลอย่างหนึ่งที่ต้องระวัง คือ ถ้าคนที่มีความดันโลหิตสูงไปใส่หินสีแดง มันจะไม่ดีตรงที่ หินจะไปช่วยกระตุ้นเลือดลมเยอะเกินไปหน่อย เพราะฉะนั้นต้องเป็นความดันต่ำเท่านั้นถึงจะได้ผลดี แต่ถ้าเป็นพวกความดันโลหิตสูง มักจะแนะนำให้ใช้หินสีน้ำเงิน หรือหินสีม่วงมากกว่า เช่นเอาหินสีม่วงวางตรงหน้าผาก มันจะลดความดัน ทำให้เราคลายความวิตกกังวล ผ่อนคลายมากขึ้น หินที่นำมาบำบัดเรื่องเลือดนี้ จะเป็นเป็นหินตระกูลไหนก็ได้ แต่ขอให้เป็นสีแดง สีส้ม ซึ่งคุณสมบัติหินแต่ละชนิดอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วถ้าเป็นหินสีแดง และ สีส้มจะช่วยเรื่องกระตุ้นเลือดลมอยู่แล้ว บางคนอาจจะจำชื่อหินไม่ได้ แต่ก็ให้รู้ว่าถ้าเห็นหินสีแดง สีส้ม ก็คือใช้ด้วยกันได้หมด

โรโดไนท์
หินโรโดไนท์ (Rhodonite) หรือที่เรานิยมเรียกว่า ‘หินอกหัก’ เป็นหินสีชมพู และมีสีดำๆ ปนอยู่ แท้จริงแล้วหินชนิดนี้ เขาบำบัดได้หลายอย่าง หลักๆ คือบำบัดบาดแผลทางอารมณ์ ซึ่งบาดแผลทางอารมณ์ ถ้าเป็นเด็กก็คือ รู้สึกว่า พ่อแม่ ไม่รัก แล้วเขาก็จะแสดงออกแบบผิดๆ ก้าวร้าว เรียกร้องความสนใจ ถ้าเป็นสาวๆ หรือหนุ่มๆ ส่วนใหญ่อาจไม่ได้คิดเรื่องพ่อแม่ไม่รักแล้ว ก็อาจจะมีบาดแผลทางใจ ในเรื่อง อกหัก รักเป็นพิษ ทุกข์ใจหนักๆ ด้วยเรื่องอะไรก็ตาม หินนี้ก็จะช่วยได้ดี เรื่องบาดแผลทางใจ มีคนมาสอบถามหรือบำบัดกับผู้เชี่ยวชาญค่อนข้างเยอะ ไม่ได้มาแค่เรื่องความรักอย่างเดียว มีคนบางคน พ่อหรือ แม่เสียชีวิต แล้วเขารู้สึกเศร้ามากก็ยังมา คือเป็นเรื่องของความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ หรือรู้สึกว่ามันคือบาดแผลที่อยู่ในใจ แล้วมันเอาไม่ออก ก็ต้องหินอันนี้แหละ จะช่วยได้ดี

หินสีน้ำเงิน
หินสีน้ำเงิน เด่นในเรื่อง การใช้บำบัดเด็กก้าวร้าว ช่วยเสริมสติปัญญา อย่างลูกผู้เชี่ยวชาญเอง ก็ได้ให้ใช้ เช่นเวลาจะสอบ ด้วยความที่เขาไม่ใช่เด็กที่เรียนหนังสือเก่ง เวลาสอบเราก็อยากให้เขามีสติในการอ่านหนังสือ หินชนิดนี้ก็จะช่วยให้เด็กเขามีความนิ่ง สงบ และมีความจำดีขึ้น ส่วนผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน สามารถเอาหินสีน้ำเงินมาช่วยให้จิตใจสงบได้ เพราะบางคนถึงโตแล้ว แต่ยังมีนิสัยแบบเดี๋ยวลุกไปทำนั้นที โน้นที ไม่โฟกัส (focus)เลยสักอย่าง หินสีน้ำเงินจะช่วยให้เขารู้สึกนิ่งขึ้น แต่หินชนิดนี้ไม่ใช่ว่าใช้แค่ 3 วัน 7 วัน แล้วจะได้ผลทันที มันต้องใช้ไปเรื่อยๆ

หินสีม่วง
อเมธิสต์ (Amethyst)เป็นหินสีม่วงอีกชนิดที่โดดเด่นในเรื่องการบำบัด เช่น ช่วยเรื่องการบำบัดสายตา ลดรังสีคอมพิวเตอร์ ภายในหินจะมีคลื่นพลังงานที่ ช่วยกระจายคลื่นพลังงาน ป้องกันรังสีต่างๆ ไม่ให้มาทำอันตรายเราได้ อเมธิสต์ มีคุณสมบัติจะเยอะ เพราะเขาเป็นหินสีม่วงที่มีพลังสูง เพราะฉะนั้น อเมธิสต์ จะใช้ได้ดี ในการปกป้องคุ้มครองเราจากพลังงานต่างๆ ที่ไม่ดี แล้วเขาก็กระจายพลังงานดีๆ ออกสู่บริเวณนั้นๆ เช่นถ้ามีผู้ป่วยอยู่ในบ้าน เราก็จะแนะนำว่า ให้เอาไปวางใกล้ๆ ผู้ป่วย มันจะช่วยบำบัดสถานที่ เสริมฮวงจุ้ยในบ้าน ให้ดีขึ้น ทำให้ห้องนั้นดีขึ้น ไม่อย่างนั้นภายในห้องที่มีผู้ป่วยมันจะมีแต่พลังงานด้านลบ วนอยู่ในนั้นตลอดเวลา”

* วิธีดูแล ใช้หินให้เปี่ยมพลังสูงสุด
หินมีคุณสมบัติดูดพลังด้านลบออกจากร่างกาย หินจึงสะสมพลังด้านลบเอาไว้ในเนื้อหิน จึงต้องมีการล้างหินเพื่อนำพลังด้านลบออก (หากรู้สึกไม่สบายใจ หรืออยากล้างเมื่อไหร่ก็ให้ล้าง) โดยทำได้หลายวิธีเช่น
1.ถือไว้ในฝ่ามือแล้วเปิดให้น้ำไหลผ่าน
2.แช่น้ำเกลือ ทิ้งไว้ 30-60 นาที
3.ใช้ธูป 1 ดอก วนไปรอบๆ หินจนธูปหมดดอก
4. นำไปฝังทราย แล้วตากแดด ตากลม ก่อนล้างด้วยน้ำเปล่า


* เมื่อซื้อหินมาใหม่อย่าเพิ่งใส่ ควรนำไปล้างเพื่อให้พลังด้านลบ ที่ติดอยู่ภายในหินหมดไปเสียก่อน (ล้างหินตามวิธีข้างต้น)
* เมื่อต้องการขอพลังจากหิน ควรสัมผัสหินทุกครั้ง เช่น หากปวดหัวก็ลูบที่หิน ใช้จิตสื่อถึงหินให้ช่วยบรรเทาความปวดนั้น
* แนะนำให้ใส่หินบำบัดไว้ที่ข้อมือซ้าย (เนื่องจากตรงกับชีพจร) หรือหากจะพกแบบก้อนเล็กๆ ติดตัว ควรนำหินใส่ไว้ในถุงผ้าที่เปิดง่าย อย่าใช้ถุงพลาสติก หรือถุงซิปล็อก เพราะการใส่ไว้ในถุงที่ไม่ระบายอากาศจะเป็นการปิดกั้นพลังของหิน
เพียงเท่านี้ก็สามารถที่จะช่วยให้ร่างกายคืนสมดุลกลับมาเป็นปกติได้ไม่ยาก..ลองทำดู

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น