วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เทพเจ้า(จีน)...ที่ชอบนำมาสร้างหนัง


หากนับหนังที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตำนาน สามก๊ก แล้ว ผมได้ดูเกือบทุกเวอร์ชั่น ทุกตอนที่สร้างกันมา แต่ตอนที่ถูกหยิบยกมาสร้างบ่อยที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเนื้อหาที่เกี่ยวกับ กวนอู ถึงบางคนขนานนามเป็นเทพเจ้าเลย ครั้งนี้ที่ผมเขียนอีก ก็หนีไม่พ้นเวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งใช้ชื่อหนังภาษาอังกฤษว่า The Lost Bladesman เทพเจ้ากวนอู จากเรื่องราวของมหากาพย์สามก๊กมีอยู่หลายฉากหลายตอนที่สามารถหยิบยกมาเล่าให้กับคนรุ่นหลังได้รับรู้ ครั้งนี้ เฟลิกซ์ ชง และ อลัน มัค ผู้ร่วมให้กำเนิดภาพยนตร์ไตรภาค Internal Affairs (อีกคนคือ แอนดรูว์ เลา) หยิบเอาเรื่องราวของสามก๊กในช่วง เทพเจ้ากวนอู หนึ่งเดียวของมหากาพย์สามก๊ก ที่ผู้คนยกย่องให้เป็นเทพเจ้า มาให้ได้ชมผ่านทางโลกเซลลูลอยด์ครับ หนังเปิดฉากขึ้นมากับช่วงเวลาหลังจากที่ กวนอู เสียชีวิตด้วยการถูกสั่งประหารโดย ซุนกวน ไปเรียบร้อยแล้ว และเรื่องราวที่ถูกเล่าทั้งหมดก็คือการย้อนกลับไปมองชีวิตของยอดนักรบแห่งจ๊กก๊กผู้นี้ จากมุมมองของผู้นำวุยก๊กอย่าง โจโฉ ที่เห็นการจากไปของกวนอูเหมือนการเสียเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ความทรงจำถึงขุนพลฝั่งตรงข้ามเริ่มต้นขึ้น ในเหตุการณ์ที่ กวนอู ติดอยู่กับกองทัพของ โจโฉ ที่นครลกเอี๋ยง พร้อมฮูหยินทั้ง 2 ของเล่าปี่ แม้เขาจะช่วยเหลือ โจโฉ ในการสังหารงันเหลียง ทหารเอกของอ้วนเสี้ยว ได้สำเร็จแต่ดูเหมือนว่า กวนอู จะทำไปเพื่อตอบแทนบุญคุณเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรเขายืนยันว่าจะไม่ยอมเปลี่ยนฝ่ายย้ายข้างเด็ดขาด จนสุดท้ายโจโฉจำยอมต้องปล่อยให้ กวนอู พร้อมด้วยฮูหยินทั้ง 2 กลับไปหาเล่าปี่แต่โดยดี เนื้อหาของหนังในตอนนี้ กวนอู (นำแสดงโดย ดอนนี่ เยน) ได้ถูก โจโฉ (นำแสดงโดย เจียงเหวิน)จับตัวไป ในระหว่างที่กวนอูอยู่กับโจโฉนั้น โจโฉได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้กวนอูเข้ามาเป็นพวกตน ทำให้ต้อนรับกวนอูอย่างดี แต่ด้วยกวนอู
มิอาจผิดคำสาบานต่อพี่น้องร่วมสาบานอย่างเล่าปี่ได้ เขาจึงบอกว่าเมื่อใดที่รู้ว่าเล่าปี่
อยู่ที่ไหน เขาก็จะรีบไปหาโดยเร็ว โจโฉรับปากและให้คำมั่นว่า หากกวนอูอยากไป ตนก็มิอาจรั้งไว้ได้ แต่สำหรับแม่ทัพเอกทั้ง 5 ด่านของโจโฉหาคิดเช่นนั้นไม่ ทั้งหมด
ขัดขวางไม่ให้กวนอูได้กลับไป จึงทำให้เกิดศึกฝ่า 5 ด่าน สังหารขุนพลของโจโฉขึ้น ผมในฐานะที่เคยอ่านสามก๊กมาบ้าง หลังจากได้เข้าไปชมก็ได้อย่างน้อยๆ สองความคิดออกมา หนึ่งคือ กวนอู ถือเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่องของความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดี รวมถึงความมีน้ำใจต่อมิตรสหายและคนรอบข้างอย่างยิ่ง สอง คือ เรื่องราวในหนัง มีบางส่วนที่ถูกแต่งเติม และไม่เหมือนกับในหนังสือที่เคยอ่าน ซึ่งผู้กำกับก็ออกมายืนยันว่าพวกเขาต้องการสร้างกวนอูด้วยการตีความแบบใหม่ และด้วยเหตุที่มีการตีความใหม่ เชื่อเหลือเกินครับว่า เหล่าบรรดาผู้ที่ชื่นชอบผลงานเดิม คงต้องรู้สึกแปลกๆ ไม่มากก็น้อย

ความรู้สึกแปลกครั้งแรกที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของอาวุธ ในจินตนาการของเรานั้น อาวุธคู่กายของ กวนอู คือ ง้าวมังกรเขียว ซึ่งน่าจะดูทนทาน คมกริบ และยิ่งใหญ่ แต่ในเรื่อง ง้าวกลับหักโดยง่าย เพียงเพราะต่อสู้กับขงสิ้ว ที่ด่านตังเหลงก๋วน รวมทั้งเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพียงเพราะการฝ่าด่านแค่ด่านแรกเท่านั้น เหตุผลหนึ่งที่ดูน่าจะเชื่อถือได้ก็คือบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับทั้งสองที่บอกว่า พวกเขาไม่ต้องการให้กวนอูเป็นเทพเจ้าหน้าแดงอีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นจึงทำให้คนดูสามารถเข้าไปใกล้กวนอูได้มากกว่าเดิม เพราะรู้สึกว่ากวนอูเป็นตัวละครที่จับต้องได้มากขึ้น การเข้าใกล้ตัวละครนั้น ผู้กำกับทั้งสองไม่ได้ทำเพียงแค่กับตัวละครอย่างกวนอูเท่านั้น แต่กับโจโฉหรือแม้กระทั่ง ฮ่องเต้ ก็เช่นกัน อย่างฉากที่ทั้งสองคนต้องทำงานนั้น ก็ชี้ให้เห็นถึงการเข้าใกล้ความเป็นคนธรรมดาของตัวละครได้เป็นอย่างดี แม้ฮ่องเต้จะกล่าวว่ายุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยที่ต้องช่วยเหลือกัน ใครทำอะไรได้ก็ควรทำ ก็ตามที ผู้กำกับทั้งสองยังพลิกบทบาทของโจโฉ จากที่หลายคนมองว่าเป็นคนไม่ดี ให้มีบทบาทที่โดดเด่น ดูดี รักษาสัจจะ แต่ก็ยังไม่วายทิ้งปมในความเป็นโจโฉที่น่าเกรงขาม และมักใหญ่ใฝ่สูงไว้ให้คนดูได้คิดตาม

ในส่วนของ ดอนนี่ เยน ที่รับบท กวนอู นั้น หากเราจินตนาการว่ากวนอูต้องรูปร่าง
สูงใหญ่ ดุดัน น่าเกรงขาม คงต้องเปลี่ยนความคิดสักหน่อย เพราะกวนอูในฉบับภาพยนตร์เรื่องนี้ ไซส์เท่ากับตัวละครอื่นๆ ไม่ได้มีความใหญ่โตของร่างกายให้โดดเด่น แต่ด้วยความเป็น ดอนนี่ เยน ฝีไม้ลายมือในการบู๊ ก็ทำเอาคนดูได้เพลิดเพลินพอสมควรเหมือนกัน ยิ่งฉากระห่ำหลายๆ ฉากในการบู๊เพื่อฝ่าด่านที่สองที่เมืองลกเอี๋ยง ก็ดูสนุกไม่น้อย ยิ่งกวนอูโดนลูกดอกอาบยาพิษเข้าไป แต่ยังสู้ไม่ถอย นับว่าเป็นข้อคิดเตือนใจสำหรับผู้ที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราพยายามอย่างสุดชีวิต สิ่งดีๆ ก็มักจะเกิดขึ้นเสมอ เหมือนอย่างกวนอูที่สามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ฝ่า 5 ด่าน ฆ่าเหล่าขุนพลของโจโฉมาได้

อีกตัวละครหนึ่งที่หากไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ เพราะเป็นตัวละครสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินเรื่องในฉบับภาพยนตร์นี้ นั่นก็คือ ฉีหลาน สนมเอกของเล่าปี่ พี่ชายร่วมสาบาน โดยได้นักแสดงดาวรุ่งฮ่องกง ซุนหลี่ มารับบท โดยในเนื้อเรื่องนั้น อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กวนอูไม่ตัดสินใจแหกค่ายหนีเพื่อกลับไปหาเล่าปี่ ก็เป็นเพราะเขาหลงรัก
ซุนหลี่มาตั้งแต่ก่อนที่เธอจะได้รู้จักกับเล่าปี่ แต่ด้วยความสัตย์ซื่อที่กวนอูมีอยู่ในตัว ทำให้แม้ว่าจะโดนฝ่ายโจโฉวางยาเพื่อให้ร่วมรักกับสนมของพี่ชายร่วมสาบาน เขาก็สามารถระงับจิตใจและผ่านมาได้ในที่สุด

ความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้นั้น กวนอูกับโจโฉมีความเด่นพอๆ กัน และทำให้คนดูรู้สึกว่าโจโฉไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ผิดกับฮ่องเต้ที่น่าจะดูเป็นคนดี แต่กลับอยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมดในการสั่งฆ่าเพื่อไม่ให้กวนอูกลับไปหาเล่าปี่ได้ และไม่ว่าเรื่องราวในหนัง ในหนังสือ หรือในโลกแห่งความจริงของกวนอูจะเป็นเช่นไร แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่า ณ วินาทีนี้ ความซื่อสัตย์ที่เขาได้กระทำไว้เมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน ได้ซึมซาบเข้าไปในหัวใจของหลายๆ คนที่รู้จักเขาแล้ว ไม่มากก็น้อยครับ และที่สำคัญก็คือการใส่มิติความลึกซึ้งลงไปในตัวละคร ที่ทำให้การเดินทางไกลของ กวนอู ครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงการฆ่าฟัน แต่เขายังต้องขบคิดด้วยว่าสมควรจะเลือกสิ่งใดดี ระหว่างคำสาบานกับพี่บุญธรรม และโอกาสที่จะสร้างโลกใหม่พร้อมกับ โจโฉ ที่ดูมีโอกาสจะเป็นไปได้สูงอยู่เหมือนกัน

งานของ อลัน มัก และ เฟลิกซ์ ชอง ที่ทั้งกำกับและเขียนบทร่วมกัน แสดงออกถึงความทะเยอทะยานอย่างเต็มเปี่ยม กับการพยายามขบคิดหาเหตุผลให้กับพฤติกรรมของบุคคลในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอธิบายความ "ชื่อสัตย์" แบบที่ทำให้ตัวละครเอกในหนังถูกยกย่องถึงขั้นเป็น "เทพเจ้า" อย่างที่เราคุ้นเคยกันให้ออกมาซับซ้อน และมีน้ำหนักขึ้นแห่งความเป็นจริงมากขึ้น หนังจึงวาดภาพสุดยอดขุนพลผู้นี้ ให้ออกมาเป็นนักรบผู้แข็งแกร่ง, ไร้เทียมทาน และเถรตรงสื่อสัตย์ต่อทุกคน และทุกเรื่อง จนอาจจะกลายเป็นความอ่อนหัดในทางการเมือง อันเป็นแนวคิดใจความสำคัญของหนัง ที่ถ่ายทอดออกมาจากปากของ โจโฉ ในตอนหนึ่งของเรื่องที่วิจารณ์ว่า กวนอู เป็นเหมือนกับลูกแกะในฝูงหมาป่า เป็นยอดนักรบผู้ยึดติดอยู่กับความซื่อตรงมากเกินไป จนยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยแห่งพวกเสือสิงห์ ที่ทำทุกอย่างได้ในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ฟังดูแล้วก็เหมือนพอจะเข้าท่านะครับ แต่ตัวหนังทำออกมาค่อนข้างจะน่าเบื่อ ซึ่งพอจะพูดได้ว่าเมื่อเทียบกับหนังสามก๊กเรื่องอื่น ๆ ที่ฉายไปแล้ว The Lost Bladesman ดูจะอ่อนด้อยที่สุด

ขณะที่ผมนั่งดูหนังในช่วงแรก จะรู้สึกว่าการเล่าเรื่องจะเชื่องช้าถึงขนาดที่ว่า 50 นาทีแรกของหนังมีฉากแอ็กชั่นแค่ฉากเดียวแล้ว ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือการแสดงของ ดอนนี่ เยน ที่นอกจากจะมีรูปร่างส่วนสูงผิดกับภาพจำของทุกคนกับตัวละครกวนอูแล้ว ก็ยังดูไปได้ไม่ค่อยดีนักกับบทที่ลึกซึ้งแต่ต้องแสดงออกแต่น้อยอย่างกวนอูอยู่เหมือนกัน แม้ดารานักบู๊คนนี้แม้จะไม่ได้ถึงขั้น "ไร้ทักษะทางการแสดง" โดยสิ้นเชิง บทนิ่ง ๆ แบบ ยิปมัน เขาก็เคยทำได้ดีมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถแสดงเป็นตัวละครได้ทุกแบบ ว่ากันว่าตอนแรกผู้สร้างเองไม่ได้เล็งดอนนี่ เยน เอาไว้นะครับ แต่ทาบทามดาราชาวจีนแผ่นดินใหญ่ จางเถี่ยหลิน ให้มารับบทเป็นกวนอูก่อน ซึ่งดาราคนนี้ชื่ออาจจะไม่ได้โด่งดังเท่า แต่ฝีไม้ลายมือถือว่าดีทีเดียว บทฮ่องเต้เฉียนหลงที่เขาแสดงไว้ใน "องค์หญิงกำมะลอ" ก็ยังเป็นที่ประทับใจของหลาย ๆ คนอยู่เลย ก็น่าคิดเหมือนกันว่าถ้าเปลี่ยนแปลงนักแสดงนำไป หนังกวนอูเรื่องนี้จะออกมารูปไหนกันแน่ สุดท้ายคนที่โดดเด่นขโมยซีนกลับกลายเป็น เจียงเหวิน ผู้รับบทเป็น โจโฉ ที่นอกจากการแสดงจะดูดีมีเสน่ห์แล้ว ยังเป็นตัวละครที่ทั้งลึกซึ้ง และน่าเอาใจช่วย ดูเป็นนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่แต่ติดดิน แล้วก็ยังมีน้ำจิตน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ด้วย เรียกว่าขโมยความเด่นจาก กวนอู ไปไม่น้อยเลยจริง ๆ

ดาราอีกคนที่ผมอยากจะกล่าวถึงก็คือ ตัวละคร เตียวเลี้ยว (เส้าปิง)ทหารเอกของโจโฉ ที่แม้จะบทไม่เยอะแต่ก็ฉายแววความมี “กึ๋น” ออกมาเป็นระยะ สมเป็นยอดนักรบอย่างที่น่ายกย่อง เรียกว่าหนังก็ยังให้เกียรติตัวละครฝั่งโจโฉอยู่บ้าง แตกต่างจากหนังสามก๊กส่วนใหญ่ที่มักจะยัดเยียดบทตัวประกอบไร้คุณค่าให้จดจำให้กับขุนพลฝั่งโจโฉเป็นส่วนใหญ่ ว่ากันที่ตัวหนังต่อ สิ่งที่น่าผิดหวังอีกอย่างก็เห็นจะเป็นคิวบู๊ครับ เพราะองค์ประกอบที่ควรจะเป็นจุดเด่นจุดขายของหนัง ก็ทำได้ระดับ “กลาง ๆ” เท่านั้น

แม้คิวบู๊ฉากต่อสู้จะถ่ายทำออกมามีมาตรฐานดีอยู่แล้วแต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษจากหนังเรื่องอื่น ๆ ในยุคนี้ ส่วนใหญ่เป็นการรบพุ่งกันด้วยอาวุธ ทั้งง้าว, ดาบยาว, หอก อะไรทำนองนี้ ซึ่งก็ออกมาดูเรียบ ๆ เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่การดีไซน์ตัวละคร 6 ขุนพลด้วยแหละครับ ที่โปรโมตกันเสียใหญ่โตมีโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์แยกแต่ละตัวละคร แต่เมื่อยู่บนจอหนังแล้วกับไร้เสน่ห์แทบไม่มีอะไรให้จดจำ ทั้งบุคลิกภาพ ไปจนถึงลีลาการพะบู๊ด้วย ที่พอจะมีอะไรให้พูดถึงอยู่บ้างก็เห็นจะเป็นตัวละคร อองเซ็ก นักรบสุภาพบุรุษแห่งเมืองเอี๋ยงหยง ที่ต่อสู้กับกวนอูด้วยความจำเป็นแบบไม่ได้แค้นเคืองอะไรกัน ฉากดวลง้าวกับดาบสองมือของตัวละครทั้งสองพอจะสร้างความตื่นเต้นได้บ้าง ส่วนเหตุผลความหนักแน่นกดดันของการต่อสู้ก็ช่วยเสริมให้เป็นฉากที่ "พอจะน่าจดจำ"อยู่พอสมควร

ผมยอมรับว่า The Lost Bladesman เป็นงานที่อาจจะน่าผิดหวังสำหรับคอหนังจีนได้ แม้จะใช้ดารานำอย่างยอดนักบู๊ พ.ศ.นี้อย่างดอนนี่ เยน จริง ๆ คือมีเรื่องราวที่ต้องบอกว่า “น่าสนใจ” และมี “มีประเด็น” อยู่พอสมควร แต่หนังก็ไม่สามารถตกผลึกออกมาได้อย่างที่ควรจะเป็น ตัวของ ดอนนี่ เยน เองที่พักหลังมีหนังออกมาปีละหลาย ๆ เรื่อง ก็เริ่มจะมีงาน “แป๊ก” ออกมามากเรื่อย ๆ แล้ว แต่ที่น่าผิดหวังจริง ๆ เห็นจะเป็นตัวผู้กำกับ อลัน มัก และ เฟลิกซ์ ชอง ที่เคยร่วมเขียนบทหนังไตรภาคเรื่องดัง Infernal Affairs มาด้วยกัน (สำหรับ อลัน มัก ยังร่วมกำกับด้วย) ซึ่งจนถึงป่านี้แล้วก็ยังคืนฟอร์มไม่ได้ซักที มองไปที่ภาพรวมกันบ้าง นับว่าในรอบ 3 - 4 ปีที่ผ่านมานี้ “สามก๊ก” ได้มีโอกาสขึ้นจอใหญ่บ่อยครั้งนะครับ โดยหนังแต่ละเรื่องต่างเลือกที่จะเจาะลึกถึงตัวละคร หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในสามก๊กอย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมประกาศตัวเป็นสามก๊ก ในแบบที่เรียกว่าผ่านการตีความใหม่ด้วยกันทั้งนั้น

Three Kingdoms: Resurrection of the Dragon (สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกร)ที่มี หลิวเต๋อหัว แสดงเป็นจูล่ง เลือกที่จะเล่าเรื่องโศกนาฏกรรมของสุดยอดนักรบรายนี้ในวัยชรา กับศึกครั้งสุดท้าย แตกต่างจากพงศาวดารต้นฉบับที่ว่ากันว่า จูล่ง คือหนึ่งในร้อยรายจากสามก๊กที่มีบั้นปลายชีวิตสงบสุข

ส่วน Red Cliff (สามก๊ก โจโฉ แตกทัพเรือ)ของ จอห์น วู นำเสนอภาพมหาสงครามครั้งสำคัญของสามก๊ก กับเนื้อหาเชิดชูชนชั้นนักรบนักปกครอง พร้อมมอบบทเด่นที่สุดในเรื่องให้กับ จิวยี่ (เหลียงเฉาเหว่ย)ให้เป็นสุดยอดผู้นำที่ทั้งรบเก่ง, กล้าหาญ และยังเป็นนักปกครองชั้นเลิศอย่างที่ควรจะเป็นเสียที หลังจากโดนพงศาวดารยัดเยียดบทตัวอิจฉาให้มานาน

จุดร่วมของหนังพวกนี้ก็คือการเจือจางเส้นแบ่งระหว่างความเป็นพระเอก,ผู้ร้ายของแต่ละฝ่ายลงไป และพยายาม “ขยายความ” มองตัวละครสามก๊กอย่างมีมิติลึกซึ้งมากขึ้น อาจจะดูแตกต่างจากเรื่องราวดั้งเดิมของสามก๊กอยู่บ้าง แต่ก็คงเรียกว่า "ใหม่" ไม่ได้เสียทีเดียว เพราะบทวิเคราะห์สามก๊กต่าง ๆ หรือ หนังสือการ์ตูน จำพวก “หงสาจอมราชันย์” หรือ “จอมราชันย์อหังการ” นั้นล่วงหน้าในแนวทางการตีความ เพิ่มมุมมองอันสดใหม่ให้กับวรรณกรรมสามก๊กไปหลายก้าวแล้ว และตอนนี้ผมมีข้อมูลใหม่สุดว่า..ปีหน้านี้ยังจะมีหนังสามก๊กมาให้ดูกันอีก กับ The Bronze Sparrow Terrace ที่จะได้ “โจวเหวินฟะ” มารับบทเป็น “โจโฉ” กับเรื่องราวในช่วงท้าย ๆ ของชีวิตทั้งการทำศึกสงครามครั้งสุดท้าย เกี่ยวกับความรัก และความสัมพันธ์กับลูก ๆ ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ ว่าหนังพอจะมีอะไรใหม่เกี่ยวกับมุมมองต่อสามก๊กมาให้ดูกันรึเปล่า หรือจะเป็นได้เพียง “สามก๊ก” ฉบับตีความ “เกือบใหม่” อย่างที่ผมได้เคยดูไปในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทุกการตีความของหนัง สามก๊ก จะมีแนวคิด มีคุณค่า และมีประโยชน์ต่อการทำงาน ต่อสังคม และต่อการใช้ชีวิตเสมอ ตรงนี้ผมต้องขอยอมรับจริงๆ ว่าดีมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น