วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หนังมวย..ดี


นี่ผมเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด ทำให้ได้เขียนบทความหนังออนไลน์ช้าไปนิด ระหว่างทางก็นั่งคิดไปว่าจันทร์นี้จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไรดี สรุปออกมาที่เรื่องเกี่ยวกับหนังกีฬา เท่าที่ผมจำได้บนแผ่นฟิล์มนี้ มีการนำเสนอมาหลากหลายรูปแบบ และทุกประเภทกีฬา ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล บาสเกตบอล รักบี้ อเมริกันฟุตบอล ฮ็อกกี้น้ำแข็ง และกีฬาประเภทอื่นๆ อีกที่ถูกนำมาสร้างซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ไม่สนุกและมันเท่ากับหนังกีฬามวย ที่ดุเดือดเผ็ดมัน ถึงรสถึงชาติ ผมได้เคยดูหนังกีฬาแนวนี้มาก็มาก ตั้งแต่หนังมวยสุดฮิต ร็อกกี้ ภาค 1-5 สร้างได้เรื่อยๆ จริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรจะนำเสนอแล้วก็ตาม แต่นั่นยังไม่ได้เท่ากับการมีข้อคิดดีดีเหมือนหนังกีฬาเรื่องนี้ที่ผมได้ดูแล้วรู้สึกขึ้นมาว่า
“อดีตไม่สำคัญ อยู่ที่ปัจจุบันเป็นอย่างไร” คำพูดในอดีตของพ่อผุดขึ้นมาในสมองน้อยๆ ของผมอย่างไม่ตั้งใจ หลังจากที่ชมหนังเรื่อง The Fighter หัวใจไม่ยอมแพ้ ผลงานการกำกับของ เดวิด โอ รัสเซล จบลง ผมยังจำได้ดี วันนั้นอากาศเริ่มจะร้อน ไม่มีฝนให้เห็นมานานแล้ว กระดาษแผ่นนั้นถูกบรรจุลงซองและส่งมาที่บ้าน พร้อมแจ้งผลการสอบเอ็นทรานซ์ว่าผมสอบติดคณะวิศวะที่ตรงกับคุณสมบัติที่ผมมี ผมเดินยิ้มเข้าไปกอดพ่อและแม่อย่างมีความสุข แต่สำหรับเพื่อนของผมบางคน เขาสอบไม่ติดคณะอะไรเลยก็ทำให้คิดไปว่าทุกอย่างเหมือนโลกทั้งใบแทบจะหยุดหมุน พร้อมน้ำใสๆ ที่อาบลงมาเต็มสองแก้มในท่ากอดเข่านั่งอยู่ข้างๆ พ่อที่คอยปลอบใจว่า ไม่เป็นไรครั้งหน้าเอาใหม่ หรือมีอีกหลายที่รอให้ลูกไปสอบไปเรียน ซึ่งนั่นก็เป็นอารมณ์หนึ่งที่เปรียบเหมือนกับหนังเรื่องนี้ที่ดีจังเลยเนอะ คริสเตียน เบล เข้าถึงบทบาทได้สุดยอดมากๆ (จนได้รางวัลออสการ์มาครอง)ผมเชื่อว่าใครที่ชื่นชอบและติดตามผลงานของ คริสเตียน เบล
มาตลอด คงอดที่จะตื่นเต้นและดีใจไม่ได้ หลังจากที่เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในชีวิต และผลที่ออกมาก็คือ เขาคว้ารางวัลออสการ์ให้กับตัวเองได้เป็นครั้งแรกในบทบาทของ ดิกกี้ เอ็คลันด์ อดีตนักมวยขี้ยาที่จมปลักกับอดีตของคำว่า ความภูมิใจของชาวเมืองโลเวลล์ หลังจากเคยทำให้ ชูการ์ เรย์ เลินเนิร์ด ล้มได้ แม้หลายคนจะมองว่า เลนเนิร์ด ลื่นล้มก็ตามที ในบทนี้เบลต้องลดน้ำหนักลงจนกลายสภาพเป็นเหมือนหนุ่มขี้ก้างติดยา คล้ายกับหนังเรื่อง The Machinist หลอน นอนไม่หลับ ที่เขาก็ลดน้ำหนักลงหลายกิโลกรัมเพื่อให้สมบทบาทที่สุด และทำให้ผมเชื่อว่าเบล สามารถเล่นเป็นตัวละครใดๆ ในโลกนี้ก็ได้ แถมยังทำได้ดีอีกด้วย
เรื่องย่อของหนังเรื่องนี้ ได้พูดถึงชีวิตจริงของนักชกรุ่นไลต์เวลเตอร์เวต ไอริช มิคกี้ วาร์ด (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก)ผู้ไม่เคยชนะในสังเวียนไหนเลย แม้แต่ในสังเวียนแห่งชีวิต เขาหวังที่จะเอาดีในการเป็นนักมวยมาตลอด และพยายามฮึดสู้อีกครั้ง โดยมีพี่ชายขี้ยาต่างพ่อที่ชื่อ ดิ๊กกี้(คริสเตียน เบล)เป็นเทรนเนอร์ให้ ตลอดชีวิตเขาถูกแม่บงการ (เมลิสซ่า ลีโอ)บังคับให้ดำเนินชีวิตตามที่เธอต้องการเสมอ โชคยังดีที่เขาได้พบกับชาร์ลีน (เอมี่ อดัมส์)แฟนสาวที่เปิดให้เห็นถึงความจริงว่า ภาระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือความรับผิดชอบที่มีต่อครอบครัว ที่กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญของการก้าวขึ้นสู่แชมป์บนสังเวียนผืนผ้าใบแห่งนี้

หนัง The Fighter ไม่ได้เพียงแค่ออสการ์ตัวเดียวเท่านั้น แต่นักแสดงสมทบหญิงอย่าง เมลิสสา ลีโอ ในบทบาท อลิซ วอร์ด แม่ของสองพี่น้อง ดิกกี้ เอ็ดคลันด์ และมิคกี้ วอร์ด(แม่เดียวกันคนละพ่อ)ก็ยังคว้าออสการ์ในฐานะนักแสดงสมทบหญิงไปครองด้วยเช่นกัน ในส่วนของนักแสดงคนอื่นๆ แม้จะพลาดหวังไม่ได้รับรางวัลจากสถาบันใดๆ ก็ตาม แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าพวกเขาไม่เสียใจ เพราะความมุ่งมั่น และตั้งใจที่จะทำผลงานดีๆ ออกมานั้นสามารถสื่อถึงผู้ชมอย่างเราๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ในบทบาท มิคกี้ วอร์ด ก็ทุ่มเทเต็มที่ เขาตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อออกมาซ้อมเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะเข้าฉาก แถมในช่วงบ่ายก็ยังซ้อมหนักอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าถึงบทบาทของนักมวยให้มากที่สุดอีกด้วย นอกจากเราจะได้เห็นความทุ่มเทของนักแสดงแล้ว สารที่หนังต้องการจะบอกกับคนดูว่า ‘อย่ายอมแพ้’ ก็ส่งถึงได้อย่างลงตัว และคำๆ นี้น่าจะเป็นกำลังใจให้กับใครหลายๆ คนที่กำลังเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตได้มีกำลังใจลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

เมื่อเราล้มแล้วไม่ยอมลุกขึ้น ไม่ยอมทำสิ่งนั้นอีกเลย มันก็ไม่มีวันที่จะเข้าใกล้ความสำเร็จได้เหมือนกับวันแรกที่เราขี่จักรยาน ถ้าเราล้มแล้วเลิกขี่ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน เดือน ปี เราก็จะไม่มีวันขี่จักรยานเป็นเด็ดขาด แต่ถ้าหากเราตัดสินใจยอมล้มบ้าง ยอมเจ็บบ้าง โอกาสที่เราจะได้ขี่จักรยานเป็นมันก็มีมากขึ้น ถ้าหาก มิคกี้ วอร์ด ยอมพ่ายแพ้ให้กับสถิติที่เกิดขึ้น เราคงไม่มีโอกาสเห็นเขาได้ก้าวสู่การเป็นแชมป์โลก เพราะสถิติการชกของเขาแพ้มากกว่าชนะด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับ ดิกกี้ เอ็คลันด์ วันที่เขาติดยาและสูญเสียทุกอย่างไป ต้องใช้ชีวิตในคุกรวมไปถึงการถูกหลอกถ่ายชีวิตนักมวยขี้แพ้ ติดยา ออกอากาศทางโทรทัศน์อีกด้วย หากวันนั้นเขายอมแพ้ โลกก็คงไม่มีโอกาสได้จารึกชื่อของเขาไว้เป็นประวัติศาสตร์ ทว่าเขากลับเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใหม่ๆ และไม่กลัวว่าอดีตจะตามมาทำร้าย เพราะไม่ว่าอดีตจะทำร้ายแค่ไหนก็ตาม เขาก็เลือกที่จะต่อสู้กับมันด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง

หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นจากเรื่องจริง มีนักมวยสองพี่น้องนี้อยู่จริง และในช่วงเครดิตท้ายเรื่อง คุณจะได้เห็นหน้าพวกเขาสองคน ซึ่งแม้ว่าเขาจะได้เป็นแชมป์โลก แต่ก็ไม่ได้หลงลาภยศสรรเสริญ ยังคงใช้ชีวิตแบบสมถะที่บ้านเกิดอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน แล้วย้อนกลับมาตรงที่ผมเคยปลอบเพื่อนสนิทคนหนึ่งในวันนั้นตอนนั้น..เพื่อนผมเขาจะเอ็นทรานซ์ไม่ติดก็ตาม แต่ในวันนี้เพื่อนผมคนนี้เขาก็มีความสุขและได้ทำในสิ่งที่เขารักได้ มีเจ้านายที่ดีชื่นชอบเขา มีเพื่อนร่วมงานที่รักเขามากมาย เขาพบกับความสำเร็จในหน้าที่การงานในตำแหน่งสูงสุดขององค์กร เชื่อผมเถอะครับ ตราบใดที่เราไม่ยอมแพ้ และลงมือทำอย่างต่อเนื่อง โอกาสดีๆ ย่อมวิ่งเข้ามาหาเราอย่างแน่นอน ทุกอย่างอยู่ที่ใจครับท่านผู้อ่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น