
วิธีการทำงานเป็นทีมที่ดีนั้นมีหลายแบบ แต่แบบที่ผมจะเขียนถึงต่อไปนี้ เป็นวิธีการทำงานเป็นทีมโดยใช้จิตวิทยาทางบวก(+)Positive Psychology เสริมความสุขเข้าไป จากเมื่อต้นเดือนที่แล้วผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษในงานสัมมนาแห่งหนึ่งของบริษัทกลุ่มเอสเอ็มอี ในเรื่องการทำงานเป็นทีมอย่างมีความสุข ให้กับพนักงานและผู้บริหาร นอกเหนือจากการพูดถึงกติกาทั่วไปในการทำงานเป็นทีมโดยหลักการบริหารจัดการทั่วไปแล้ว ผมได้หยิบยกประเด็นของการฝึกให้ทุกคนมีความสุขแบบทันทีทันใด โดยใช้แนวประยุกต์ของจิตวิทยาทางบวก(Positive Psychology)ซึ่งผมถือว่าสำคัญมาก ถ้าพนักงานทุกคนมีความสุข หรือสามารถสร้างความรู้สึกสุขได้ทันที เขาจะพอใจชีวิต และช่วยทำให้คนอื่นและเพื่อนร่วมงานมีความสุขได้ด้วย ทำให้เกิดการเอื้ออาทร ช่วยเหลือร่วมมือซึ่งกันและกัน ทำให้งานขององค์กรประสบความสำเร็จได้ด้วยดี โดยทุกคนไม่ต้องถกเถียง เกี่ยงงาน หรือก้าวร้าวเข้าหากัน แนวคิดนี้ต้องอาศัยความเชื่อที่ว่า มนุษย์มีจุดแข็งที่ดี ๆ หรือจุดบวก(+) บางอย่างในตัวอยู่แล้ว เช่น ความรัก ความเมตตา ความอ่อนโยน อารมณ์ขัน ความคิดริเริ่ม ให้ค้นหาให้พบและให้บ่มเพาะจุดแข็งเหล่านี้ให้เติบโตและแตกแขนงได้มากขึ้น เขาจะเริ่มมีความสุขและประสานความสุขกับคนรอบ ๆ ข้าง รอบ ๆ ตัวมากขึ้น เข้าข่ายที่เรียกว่า “พากันสุข” เขาจะมองตัวเองดี มองคนอื่นดี อยากทำความดี และพัฒนาตัวเองจากบวก(+)น้อย ๆ ไปสู่บวก(+)มากขึ้น ๆ แต่ถ้าเราใช้ความคิดแบบเก่าโดยใช้จุดอ่อนหรือจุดลบ(-)ของมนุษย์มาเป็นตัวเริ่มต้น เช่น มนุษย์มีความเห็นแก่ตัว ก้าวร้าว เอาแต่ได้ อ่อนแอ เขาก็จะมองตัวเองและมองคนอื่นรอบตัวด้วยแนวคิดที่เป็นจุดอ่อนหรือจุดลบ(-)ตลอดไป กว่าจะพัฒนาจากลบให้เป็นศูนย์(0)หรือบวก(+)ทำได้ยากมาก เขาจะมองตัวเองในแง่ไม่ดี ต่ำต้อย และมองคนอื่นแบบไม่ไว้ใจ ระแวง เพราะคิดว่าคนอื่นก็มีจุดลบ(-)หรือไม่ดีอยู่มาก การอยู่ในสังคมหรือการทำงานร่วมกันจึงเต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะมาจากคนทุกคนมองตัวเองไม่ดี (โดยจับผิดและเชื่อว่าทุกคนมีจุดอ่อนอยู่มากนั่นเอง)ที่จริงมนุษย์เรามีทั้งจุดแข็ง(+)และจุดอ่อน(-)อยู่ที่เราจะนำจุดไหนมาเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตเพื่อให้พัฒนาต่อไป แนวคิดจิตวิทยาทางบวก(+)นี้ เพิ่งเริ่มฮิตมาไม่นาน มีคนศึกษาและนำมาใช้กันมากขึ้น
ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่ดีมีคุณประโยชน์ต่อตัวเองและสังคมโดยไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมแล้ว เราควร “เชื่อ” ให้มาก ๆ เข้าไว้ เช่น แนวคิดจิตวิทยาทางบวก (+)เพราะชีวิตจริง ๆ ของเราดำเนินไปแต่ละวันนี้เป็นไปตามความเชื่อนี่แหละ ด้วยความจริงแนวบวก(+)ทำให้เรามองข้ามการจับผิดมนุษย์แบบการคิดเชิงจิตวิเคราะห์อย่างเดิม ๆ หรือความเชื่อเกี่ยวกับการที่มนุษย์มีบาปดั้งเดิมติดตัวมา หันมามองแนวทางพัฒนาจุดแข็งจุดบวก(+)ของตัวเองที่มีอยู่แล้วทุกคนให้เติบโตมากขึ้น เพื่อนำพาไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น รู้จักและตระหนักตัวเองมากขึ้นในแง่ดี มีเป้าหมายชีวิตที่สร้างสรรค์เพื่อส่วนรวม เพื่อเกิดความปลื้มปิติ และรู้จักใช้เวลาในชีวิตที่เหลือเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบและสร้างสรรค์ ไม่ใช่ทำเพราะต้องการเงินหรือเป็นหน้าที่

สุดท้ายผมขอให้ผู้เข้าสัมมนายืนขึ้นทีละคนเพื่อกล่าวคำขอบคุณใครบางคนในองค์กรของเขาอย่างจริงใจ ที่ได้มีส่วนช่วยเหลือหรือทำดีกับเขามาแล้ว เชื่อไหมครับ! บางคนยืนขึ้นและเลือกขอบคุณคนที่เขาเคยรู้สึกเกลียดที่สุดก่อนมาเข้าสัมมนาครั้งนี้ และสารภาพว่าเขาเคยรู้สึกเช่นนั้น แต่ขณะนี้เขาเปลี่ยนอคติมองแง่บวกได้แล้ว เขารู้สึกว่าคนที่เขาเกลียดจริง ๆ นั้นกลายเป็นคนที่มีบุญคุณแก่เขามหาศาล งานนี้ทุกคน Happy และจะร่วมงานกันต่อไป เป็นการทำงานเป็นทีมที่มีความสุข
ส่วนตัวผมนั้น Happy มากกว่าใคร ๆ เพราะมีส่วนร่วมให้หลาย ๆ คนมีความสุขมากขึ้นจากการที่เขาเลิกมองตัวเองและคนอื่นทางลบ(-)กลายเป็นมองตัวเองและคนอื่นเป็นทางบวก(+)ได้ ผมรู้สึกดีใจหลาย..หลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น