วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Salary (Man)


อรุณสวัสดิ์ยามเช้ากับสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจเกี่ยวกับน้ำท่วม แต่ก็ขอให้ทุกคนจงปลอดภัยคลาดแคล้วจากภัยทุกด้านนะ วันนี้ผมขอเขียนถึงเรื่อง “มนุษย์เงินเดือน” ที่หลายคนต้องมีประสบการณ์มาบ้าง แล้วอาชีพนี้ดีอย่างไร? การทำงานเป็นลูกจ้างหรือเป็นมนุษย์เงินเดือนในความเป็นจริงแล้วมีอะไรดีๆเยอะมาก แต่เราอาจจะมองข้ามไป เช่น
* ได้รับรายได้แน่นอนเท่ากันทุกเดือน
ไม่มีธุรกิจไหนที่จะสามารถรับประกันได้ว่าแต่ละวันแต่ละเดือนจะได้รายได้เท่านั้น เท่านี้ ยกเว้นการทำงานเป็นลูกจ้าง ลูกจ้างทุกคนสามารถรับรู้รายได้ขั้นต่ำของตัวเองได้ล่วงหน้าว่าแต่ละเดือนจะได้เท่าไหร่ พนักงานในบางระดับอาจจะได้มากกว่าเนื่องจากมีค่าโน่นค่านี่ ค่าโอที ค่าเงินช่วยเหลืออะไรอีกจิปาถะ ในขณะที่คนที่มีธุรกิจส่วนตัวไม่สามารถบอกได้ว่าเดือนนี้จะขายของได้เท่าไหร่ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องไปสนใจว่าวันนี้ฝนจะตกหรือแดดจะออก เราได้เงินเดือนแน่นอน ไม่เหมือนเราเปิดร้านขายของที่สภาพลมฟ้าอากาศมีส่วน เช่น ถ้าเราขายน้ำแข็ง วันที่ฝนตกถือเป็นวันที่เราไม่พึงประสงค์ แต่ที่ฝนตกถือว่าเป็นวันดีสำหรับคนขายร่ม ดังนั้น เราจะเห็นว่าการเป็นลูกจ้างเป็นอาชีพที่ไม่มีคำว่า “ขาดทุน” เพราะเราไม่ต้องลงทุนอะไร ลงเพียงแต่แรงกายและแรงสมองเท่านั้น

* ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆโดยไม่ต้องลงทุนเอง
ผมมีเพื่อนฝรั่งคนหนึ่งเขาเป็นวิทยากร เคยบ่นให้ฟังว่าคนไทยแปลกมากคือ เวลาเข้าสัมมนามักจะบ่นว่าเบื่อ เซ็ง เหมือนถูกบริษัทบังคับให้เข้ามาสัมมนา เพื่อนผมคนนี้เขาบอกว่าทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทอุตส่าห์ลงทุนให้มาเข้าสัมมนาแบบไม่ต้องควักตังค์เองเลยสักบาทเดียว แต่คนไทยกลับไม่ค่อยเห็นความสำคัญทั้งๆที่ความรู้ทั้งหมดอยู่ที่ตัวผู้เข้าสัมมนาไม่ได้อยู่ที่บริษัทฯ คนบางคนได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมที่ต้องลงทุนสูง ซึ่งถ้าเป็นบุคคลธรรมดาหรือคนที่ทำกิจการส่วนตัวคงไม่มีโอกาส เช่น การส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ การฝึกงานต่างประเทศในบริษัทแม่ ถ้าคุณไม่ใช่ลูกจ้าง ผมรับรองได้ว่าต่อให้คุณมีเงินมากมายขนาดไหน เขาก็ไม่อนุญาตให้คุณไปฝึกงานในบริษัทในต่างประเทศอย่างแน่นอน การฝึกอบรมที่บริษัทได้ลงทุนไป ปีหนึ่งๆเป็นหมื่นเป็นแสนนั้น บริษัทไม่เคยทวงถามเลยว่าพนักงานจะต้องทำอะไรเพื่อเป็นการชดเชยเวลา เงินทองที่ลงทุนไปกับการฝึกอบรม ถ้าคิดให้ดีแล้วจะเห็นว่าการเป็นลูกจ้างมีแต่ได้กับได้เรียนรู้ฟรีๆ จุดนี้น่าจะเป็นจุดที่เราในฐานะมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ น่าจะกอบโกยใส่กระเป๋าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นะครับ เพราะโอกาสดีๆในการเรียนรู้ในขณะที่อยู่ในองค์กร จะไม่มีวันหวนกลับมาหาเราอีกเมื่อเวลาผ่านพ้นไป

* มีสังคมกว้าง ทันโลกทันเหตุการณ์
ใครที่มีเพื่อนเปิดกิจการส่วนตัวหรือทำสวนทำไร่อยู่ที่บ้าน เราจะเห็นว่า คนเหล่านี้จะอยู่ในสังคมที่แคบกว่าคนที่ทำงานเป็นลูกจ้างอย่างเรา ผิดกับเราที่เป็นลูกจ้างเรารู้จักคนจำนวนมากในองค์กร เผลอๆมีเพื่อนร่วมอาชีพจากองค์กรอื่นๆอีก นอกจากนี้ เรายังได้รู้จักคนในทุกระดับตั้งแต่ระดับคนงานจนถึงระดับประธานบริษัทฯ ยิ่งใครเปลี่ยนงานบ่อยๆหรือทำงานมาหลายองค์กร รับรองเพื่อนร่วมงานของเราเยอะมาก และสังคมของลูกจ้าง เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา คนทำงานเป็นลูกจ้างมักจะไม่ค่อยตกข่าว เพราะในองค์กรมักจะมีระบบการสื่อสารเรื่องต่างๆ ให้พนักงานรับทราบอยู่เสมอ รวมถึงข่าวบางเรื่องเราได้จากเครือข่ายของลูกจ้างด้วยกัน และเราสามารถรับรู้ข่าวสารต่างๆได้ค่อนข้างรวดเร็ว เพราะมีแหล่งข่าวมาก

* มีสวัสดิการดีกว่าคนทำกิจการส่วนตัว
คนทำงานเป็นลูกจ้างไม่ต้องดิ้นรนหาหลักประกันพื้นฐานในชีวิตไม่ว่าเรื่องการรักษาพยาบาล การประกันชีวิตหรือบางองค์กรยังมีสวัสดิการอื่นๆอีกมากมาย เช่น บ้านพัก รถรับส่งหรือค่าพาหนะ ถ้าตำแหน่งสูงหน่อยก็มีรถประจำตำแหน่ง เผลอๆมีคนขับรถให้อีกต่างหาก มีกิจกรรมสันทนาการ การท่องเที่ยว ชุดพนักงาน เงินช่วยเหลือครอบครัว เงินช่วยเหลือการสมรส ลาบวช ลาคลอดต่างๆก็ได้รับเงิน รวมถึงตอนสิ้นปียังมีโบนัสอีกด้วย ซึ่งอาชีพอื่นๆที่ไม่ใช่ลูกจ้างคงจะหาได้ยากหรือแทบจะไม่มีเลย

* ไม่มีล้มละลาย
รับรองได้ว่าไม่มีลูกจ้างคนไหนโดนฟ้องล้มละลายเพราะทำงานล้มเหลว ไม่เหมือนคนบางคนที่ลงทุนทำธุรกิจแล้วขาดทุนจนต้องโดนฟ้องล้มละลาย แย่ที่สุดของลูกจ้างคือไม่มีงานทำ ไม่มีแย่ไปกว่านี้แล้ว เพราะฉะนั้นจะเป็นการเป็นลูกจ้างสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นคือตกงาน ซึ่งน่ากลัวน้อยกว่าอาชีพอื่นๆ

* ทำงานเพียงหน้าที่ที่รับผิดชอบ
ถึงแม้รายได้ของเราจะไม่มากเหมือนกับคนทำธุรกิจส่วนตัว แต่ก็คุ้มค่ากับความรับผิดชอบที่มี เพราะเรารับผิดชอบเพียงงานที่อยู่ในหน้าที่เราเท่านั้น ส่วนผลโดยรวมขององค์กรเราไม่จำเป็นต้องไปรับผิดชอบ อีกอย่างหนึ่งงานในหน้าที่มันมักจะจบลงเมื่อเราเดินพ้นออกมาจากสถานที่ทำงานหรือหลังเวลาเลิกงาน ยิ่งใครที่ทำให้เป็นกะรับรองได้ว่าส่งกะส่งเวรเสร็จแล้วชีวิตเราอิสระไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย แต่ถ้าคุณทำธุรกิจส่วนตัวความรับผิดชอบต่องานจะอยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมง จะส่งเวรส่งกะให้ใครไม่ได้เลย

* เบื่อเมื่อไหร่ เปลี่ยนได้ทันที
การเป็นลูกจ้างไม่มีใครมาบังคับให้เราทำงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งไปตลอดชีวิต เป็นอาชีพที่มีอิสระในการเลือกมาก เพราะเราสามารถเปลี่ยนงาน เปลี่ยนองค์กรได้ตลอดเวลา รวมถึงมีองค์กรรองรับอาชีพมากมาย (แต่เราต้องมีความสามมารถเพียงพอที่พอด้วยนะครับ) บางคนต้องการเปลี่ยนงานเพราะบ้านอยู่ไกล บางคนต้องการเปลี่ยนงานเพราะต้องการให้ที่ทำงานอยู่เส้นทางเดียวกับแฟน บางคนเปลี่ยนงานเพราะอยากได้สวัสดิการครอบครัว ฯลฯ ดังนั้น อาชีพนี้ดีตรงที่สามารถเปลี่ยนงานให้เหมาะสมกับความต้องการในชีวิตของเราได้ตลอดเวลา

* มีวันหยุดเยอะ
สิ่งหนึ่งที่คนทำงานเป็นลูกจ้างไม่ต้องแสวงหา นั่นคือวันหยุด เพราะองค์กรต่างๆจะประกาศวันหยุดให้เราล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่าวันไหนบ้างในแต่ละรอบปีที่เราจะได้หยุดทำงาน วันหยุดของลูกจ้างก็มีหลายประเภท เช่น วันบังคับให้หยุด(วันแรงงาน วันที่นายจ้างหยุดเพื่อทำกิจกรรมบางอย่าง) วันหยุดประเพณี วันลาพักร้อน วันลากิจ วันลาป่วย วันลาคลอด ลาสมรส ลาฌาปนกิจ วันลาบวช วันลารับราชการทหาร บางองค์กรก็มีวันลาอื่นๆอีกมากมาย รวมๆกันแล้วปีหนึ่งๆ เรามีวันหยุดวันลาเยอะมาก ที่สำคัญคือขนาดไม่ทำงานแล้วยังได้รับเงินเดือนปกติอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับมนุษย์เงินเดือน "จงภูมิใจกับสิ่งที่ท่านเป็นอยู่ มีอยู่ ได้อยู่ มากกว่าถามหาสิ่งที่ยังไม่ได้เป็น ยังไม่มี หรือยังไม่ได้" แล้วเราก็จะเห็นคุณค่าของอาชีพเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น