วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปรับตัว ปรับใจ ในการใช้เงินยุคนี้


มีหลายคนมาถามผมเรื่องข้าวของแพงทำอย่างไรดี อย่างแรกเลยผมบอกให้ปรับตัวก่อน เพราะการปรับตัวมันเป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ง่ายได้เร็วที่สุด การปรับตัวคือ การที่เราต้องเข้าใจในยุคที่มีราคาข้าวของวิ่งส่วนทางกับเงินเดือนและนโยบายลดพนักงานของบริษัทใหญ่ๆ หลายคนได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้าโดยเฉพาะพนักงานเงินเดือนหรืออาชีพอิสระที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ราคาน้ำมันเอาแต่เพิ่ม จนแทบทำให้อยากจะลงเดินแทนการขับรถไปทำงาน หรือแม้แต่ของกินอย่างไข่ก็ช่างแพงเหลือเกินจนต้องซื้อเป็นกิโล ขณะที่เรายังเป็นคนที่มีสิทธิ์เลือกได้ในการเงิน การวางแผนเป็นสิ่งเดียวที่พอจะเอาตัวเรารอดได้ในยุคนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้นเราต้องกลับมามองกันแล้วว่าวันนี้คุณกำลังดำเนินชีวิตอย่างไร ควรเดินไปตามความใจอยาก หรือเดินไปตามความจำเป็น ดังนั้นเตรียมพร้อมสักนิดชีวิตเราจะได้ไม่ผิดแผนกันมากนัก นี่เป็นแนวทางเล็กๆ น้อยๆ ในการปรับตัวที่ดีที่ผมขอฝากไว้เพื่อให้ทุกคนได้อยู่กันสบายๆ
ผมคงไม่บอกเพียงว่าให้ ประหยัด เพราะเชื่อว่าทุกคนย่อมรู้กันอยู่แล้วว่าในยุคที่ราคาข้าวของขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ควรเริ่มที่..
- วางแผนการใช้เงินและบัญชีรายรับ รายจ่ายเสมอ
นั้นหมายถึง การวางแผนและการทำบัญชีรายวัน รายเดือน รายปี ควบคุมการใช้จ่ายของตัวเอง ซึ่งจะทำให้ตัวเองมีความพอดีในการตัดสินใจซื้อ ไม่ฟุ่มเฟือย เมื่อครบเดือนสรุปรายรับ รายจ่ายออกมาทำให้เรารู้ว่ามีการใช้จ่ายและรับเท่าไหร่ เมื่อนั้นเราก็จะรู้จักเฉลี่ยค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน ทำให้มีการจ่ายน้อยในกรณีรายรับน้อย สำหรับอนาคตเราก็จะได้มีเงินเหลือไว้เก็บออมได้ บางคนบอกว่าควรเก็บให้ได้ 1 ใน 3 ของรายได้ แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนบางคนยังไม่พอกินแบบเราๆ นี้ ขอแนะนำให้ลองตั้งเป้าขึ้นมาเองดีกว่า ว่าจะเก็บไว้เท่าไหร่จึงจะพอดีกับการใช้ชีวิตของเรา เอาแบบเก็บแล้วใช้ชีวิตได้ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องมากินแบบอดๆ อยากๆ น่าจะดีกว่า ผมขอแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าตั้งใจจะเก็บเท่าไหร่ ก็ควรจะเก็บจำนวนเงินนี้เป็นฐานขั้นต่ำสุด คือ หากคิดว่าจะเก็บเดือนละ 2,000 บาท ก็ต้องเก็บเดือนละ 2,000 บาทเป็นอย่างต่ำ หากเดือนไหนมีมากอยากจะเก็บเพิ่มเป็น 4 - 5,000 บาทก็ว่ากันไป ถ้าได้ทำแบบนี้ ผมขอบอกเลยว่าคุณปรับตัวทางการเงินได้ในระดับหนึ่งแล้ว
- อย่าใช้จ่ายเงินเกินงบที่วางไว้ สำคัญนะนี่
อะไรก็ตามที่วางแผนไว้จะมีประสิทธิผลมากตรงที่ การมีวินัย แผนจะบรรลุ วินัยต้องชัดเจน ไม่ใช่ว่าอยากได้ของฟุ่มเฟือย แม้จะกเนงบก็แอบเอาเงินเก็บออกไปซื้อ หรือบางคนยอมควักบัตรเครดิตออกมารูด ซึ่งการรูดบัตร เรายังไม่ได้ควักเงินสดออกจากตัวตอนนะน ทำให้เราไม่รู้จักจำกัดการใช้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่บิลทวงหนี้มาถึงบ้าน ตอนนั้นหน้าบานๆ เพราะการช็อปปิ้ง อาจจะซีด เพราะต้องวิ่งหาเงินมาใช้หนี้กันคางเหลืองก็เป็นได้ ดังนั้นคิดจะใช้เงินแต่ละครั้งต้องมีสติ คิดให้รอบคอบ อย่าตามใจเรา อย่าเลียนแบบคนอื่นเขา
- ขอให้เลือกใช้สินค้าและบริการที่คุ้มค่า ราคาประหยัด
ขณะนี้ ตอนนี้ กับเศรษฐกิจแบบนี้ แน่นอนว่ามีสินค้าและบริการมากมายที่ปรับแผนการตลาดและใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการเข้าหากลุ่มลูกค้า ซึ่งเมื่อผู้ประกอบยังเปิดโอกาสให้เราเลือก เราก็ต้องเลือกอย่างชาญฉลาด คือต้องรู้จักเปรียบเทียบราคาทั้งสินค้า และบริการ เลือกให้เหมาะสมกับความต้องการใช้จ่าย ไม่จ่ายเกินความจริง ไม่ต้องสมัครเหลือทิ้งเผื่อเลือกไว้ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เอาแค่เรื่องใกล้ตัวอย่างโปรโมชั่นโทรศัพท์ หากจำเป็นต้องติดต่องานในตอนกลางวันแล้วกลางคืนแทบไม่ได้ใช้ ก็เลือกโปรโมชั่นที่โทรพรีกลางวัน ซึ่งทุกข่ายเขาก็ดันโปรโมชั่นนี้ออกมาให้เลือก หรือเคยกินอาหารในห้างราคาเฉลี่ยมือละ 200-300 บาท ก็ลองมองหาร้านอาหารธรรมดาๆ ราคาประหยัดแต่รสชาติก็ไม่ได้ด้อยกว่ากัน บางร้านอร่อยกว่า แต่ที่แน่ๆ ราคาเพียง 30-50 บาทต่อมื้อ ก็อิ่มท้องเหมือนกัน ลดความอยากในวัตถุนิยมลงนิด เพื่อวันพรุ่งนี้ที่สุขกว่ากัน น่าลองทำดูไม่เสียหายอะไรหรอก
- เลิกตาลุกวาวกับคำว่า ลดราคา
ทุกครั้งที่ผมได้ไปเดินห้างแล้วมีเพื่อนสาว หรือน้องสาวเดินด้วย สิ่งหนึ่งที่เธอมักจะมองผ่านตามร้านแบรนด์เนมต่างๆ ก็คือ คำว่า Sale เพราะมันจะทำให้สติและความคิดแตกกระเจิงทันที ย่ิงมีคำพ่วงท้ายว่า 40 -70% แล้วละก้อ มีอันต้องเดินเลี้ยวเข้าไปทันที ทำให้ลืมไปว่าความจำเป็นที่ต้องการใช้ในสิ่งนั้นลดลงและสินค้าบางอย่างก็มีใช้อยู่แต่ด้วยอารมณ์เสียดายโอกาส ราคาลดตามห้างหากมาดูตอนไม่ลดมันก็แพง พอลดมันก็ฉลาดที่จะทำให้ดูเหมือนลดลง เอาเข้าจริงๆ ไม่ได้มากตามราคาที่ติดเท่าไหร่ เมื่อเจอป้ายพวกนี้จงจำไว้ว่า จงมีสติกับการใช้เงินให้มากขึ้น เพราะเก็บเงินทองเอาไว้ไม่เน่าเสีย เก็บไว้เผื่อวันข้างหน้ามีอะไรให้เราจำเป็นต้องใช้มากกว่าเอาไปซื้อของลดราคากลับมาวางไว้ดูเล่น
- อย่าลืมทำเป็นคนหูไวตาไว ด้วยการเสพข่าวสารทางการเงินเป็นประจำด้วย
ในส่วนสุดท้ายนี้จะบอกให้รู้ว่า บางครั้งมีโอกาสทางการเงินที่ดีๆ เกิดขึ้นเราควรต้องมีการติดตามอ่านข่าวจากการจัดงานของธนาคาร หรือประกันชีวิตที่มีไว้ให้สำหรับผู้ที่รักการออมไว้ใช้ในอนาคต เราต้องเลือกเอาสถาบันที่เหมาะสม มั่นคงพร้อมที่จะดูแลการเงินให้เรา เพราะการเก็บออมที่ดีย่อมส่งผลให้เกิดความคุ้มค่าในอนาคตด อย่ามัวแต่ไปติดตามข่าวสารแค่เรื่องแฟชั่นเสื้อผ้า หรืองานเอ็กซ์โปเกี่ยวกับรถยนต์อย่างเดียว คุณควรอ่านข่าวเศรษฐกิจบ้าง หัดอ่านข่าวราคาขึ้นลงหรือห้างไหนมีข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นราคาประหยัดขาย คุณจะได้ไม่ตกยุคและไม่เสียเงินไปกับสิ่งแพงๆ โดยไม่จำเป็น หรือแม้แต่การฝากเงินที่ไหนให้ดอกเบี้ยดี ฝาก ถอนในระยะสั้นแต่ดอกเบี้ยสูงๆ พอกับระยะยาว เรื่องแบบนี้หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากคุณไม่ละเลย อาจได้อะไรตอบแทนกลับมามากกว่าที่คิดไว้ก็ได้นะ
การแนะนำเรื่องพวกนี้บางครั้ง บางคนบอกว่าไม่มีประโยชน์ ทำไม่ได้หรอก ผมว่าอย่ามองข้ามเด็ดขาด ถ้าทำได้จะส่งผลที่ดีกับตัวเรามาก ที่เราไม่ทำเพราะเรายังไม่มีปัญหาใช่ไหม ที่เราไม่ทำเพราะเรายังไม่เดือดร้อนใช่ไหม อย่ารอให้เกิดปัญหา..อย่ารอให้อายุมากกว่านี้แล้วค่อยคิด พอถึงเวลานั้นแล้วก็สายเกินแก้ เมื่อถึงเวลานั้นเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้กับเงินที่หายไป มีเวลาที่สั้นลงแบบไม่มีทางขอกลับมาอีกได้ มาปรับตัว ปรับใจเสียแต่ตอนนี้ รับรองไม่มีคำว่าสายในเรื่องการเงิน...เชื่อสิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น