
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว..เพื่อนร่วมงานขององค์กรเก่าของผมหลายคนมานั่งประกบผมในระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน พร้อมยิงคำถามที่ละคนกับความไม่สบายใจยิ่งเวลาที่จะต้องตอบปัญหาความเติบโตในหน้าที่การงานกับลูกน้อง โดยเฉพาะในฤดูที่เริ่มต้นการประเมินผลงานปลายปี และการปรับระดับหรือตำแหน่งงานประจำปี ด้วยเพราะไม่รู้จะบอกยังงัย แม้ฝ่ายบุคคลมีเค้าโครงชัดเจนให้ดำเนินการแต่ในใจลึก ๆ ก็ยังไม่สู้เข้าใจมากนักว่าจะพูดอย่างไร และทำอย่างไรกันดี ผมเองพอมีความรู้อยู่บ้าง ก็ให้คำแนะนำไปทำนองว่า เป็นธรรมดาที่หัวหน้างานจะเจอเรื่องเหล่านี้ เพราะนอกจากการ จัดการงานให้เกิดผล ก็ต้องดูแลคนให้เป็นสุข สร้างผลงานเชิงรุกเปี่ยมประสิทธิภาพ... คู่ขนานกันอย่างหลีกไม่ได้ และในเมื่อคนทำงานแล้ว ก็มักจะคาดหมายความเติบโตในหน้าที่การงานด้วยต้องการตำแหน่งงานสูงขึ้น และ(สำคัญเลย)เงินเดือนค่าตอบแทนเพิ่มมากขึ้นตามภาระของชีวิตประจำวันที่มักเพิ่มขึ้นเสมอ ไม่แปลกครับที่จะมีพนักงานในหน่วยงานของท่านจำนวนหนึ่งที่มองไม่เห็นว่า เขาจะต้องพัฒนาตัวเองอย่างไร (หนักกว่านั้น คือ แม้จะรู้ก็ไม่อยากทำอะไร)เลยฝากภาระอันหนักเหลือหลายนี้ไว้กับหัวหน้างาน เพราะอย่างน้อยที่สุด หากเกิดอะไรขึ้นมา เช่น ผลการประเมินการทำงานประจำปีได้ไม่ดี การโยนภาระการพัฒนาตัวเขาจากตัวเขาเองมาให้หัวหน้างาน ก็เป็นไม้หน้าสามชิ้นเขื่อง สำหรับเอาไว้ดันหลังเพื่อเป็นคำตอบสุดท้ายว่า หัวหน้างาน ไม่ได้ส่งเสริมความก้าวหน้าอะไร เข้าทำนอง “โทษเขาดีกว่าโทษตัวเอง” (รักษาหน้าตา)ดังนั้น หัวหน้างานทั้งหลายพึงตระหนักข้อนี้ให้มั่นคงครับ ทางฝั่งหัวหน้างานนั้น พบว่ามีจำนวนไม่น้อยครับที่แม้จะทราบว่าตัวเองมีบทบาทสำคัญในกระบวนการจัดการความก้าวหน้าในสายอาชีพของพนักงานในสังกัด แต่ก็มักมุ่งรีดเอาแต่ประสิทธิภาพและพฤติกรรมการทำงานที่สูงส่งจากลูกน้อง โดยลืมที่จะคุยเรื่องโอกาสและให้คำแนะนำในเรื่องความก้าวหน้าตามสายอาชีพ หรือบางท่านก็หลีกเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะตอบเรื่องเหล่านี้อย่างไร ขาดข้อมูล รวมตลอดจนถึงการขาดทักษะความเข้าใจเรื่องความก้าวหน้าในสายอาชีพ และส่วนหนึ่งนั้น ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า บางที HR เองก็ทำงานไม่ครบเท่าไรนัก ! เอาแบบนี้ดีกว่า พุทธสุภาษิตที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ก็ยังใช้ได้เสมอครับ คือ แนะนำ กระตุ้นและจูงใจให้พนักงานสร้างความก้าวหน้าในการทำงานที่เริ่มจากตัวเอาเองคุณเอง....

ผมขอเริ่มต้น เชื้อเชิญทุกท่านเริ่มทำความเข้าใจตามธรรมดาแล้ว องค์กรต่าง ๆ ย่อมต้องการวางแผนความก้างหน้าในอาชีพที่เรียกว่า Career Planning ให้กับพนักงานในองค์กรเกือบทุกระดับอยู่แล้วล่ะครับ ที่ต้องทำก็เพราะว่า การวางแผนและสร้างความก้าวหน้าในอาชีพ (Career Path)เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เพื่อสร้างความมั่นใจในความต่อเนื่องและเติบโตขององค์กรในระยะยาว ต่อยอดไปถึงการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง (Succession Planning)การรักษากลุ่มคนเก่ง (Talent Pool) โดยเฉพาะสำหรับตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อความอยู่รอดและการเติบโตขององค์กร (Critical Positions) อันเป็นหัวใจสำคัญของการบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์จากองค์ประกอบหลักของการบริหารทรัพยากรบุคคล และการสร้างความมั่นใจในการรักษา การพัฒนาขีดความสามารถที่จำเป็นเพื่อการทำธุรกิจที่ต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเชื่อว่าทุกท่านคงทราบในประเด็นเหล่านี้แล้ว พนักงานมืออาชีพทั้งหลาย ก็สามารถสบายใจในระดับหนึ่งว่า องค์กรก็จะไม่ปล่อยให้คุณทำงานไปวัน ๆ โดยไม่เกิดมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรในระยะยาวเป็นแน่แท้ และโดยเหตุนี้เอง ภาระการสร้างการทำงานของคุณทั้งในปัจจุบันและอนาคต ย่อมไม่อาจจะเรียกร้องได้จากฝ่ายองค์กรแต่ทางเดียวจริงมั้ยครับ (จะมีบ้างครับในบางองค์กรยังไม่มีรูปธรรมของแผนการสร้างความก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน แต่ก็มักจะมีแนวปฏิบัติในระดับหนึ่ง...)
ขอให้คุณทำความเข้าใจเสียว่า ความก้าวหน้าในการทำงาน และสายอาชีพของเรานั้น เป็นเรื่องที่เราต้องสร้างและวางแผนเริ่มจากตัวเองนี่ล่ะครับ...สำคัญสุด....คุณมีหน้าที่ที่จะต้องริเริ่มแสวงหาข้อมูลความเห็นในการทำงานจากหัวหน้างาน จากเพื่อนร่วมงานที่คุณต้องทำงานใกล้ชิดหรือเกี่ยวเนื่องกับเขา ทั้งในและนอกหน่วยงาน เพื่อให้ทราบว่า คุณมีทักษะ ความสามารถ จุดเด่น จุดด้อย ในเรื่องใด ทั้งเรื่องงาน และพฤติกรรมการทำงาน เพื่อที่จะใช้เป็นข้อมูลประเมินประเด็นการพัฒนาตนเองของคุณทั้งในงาน และที่เชื่อมโยงมาจากชีวิตประจำวัน การสร้างคุณค่าให้กับตนเองจากการมุ่งปรับปรุงผลงานที่ดีให้เกิดขึ้นในลำดับต่อไป
มีผู้รู้ท่านหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ให้ลองถามตัวเองดูสิครับ..คุณเคยประเมินความสามารถและทักษะในการทำงานของตัวเอง แล้วนำมาเทียบกับที่องค์กรต้องการในปัจจุบันและอนาคตแล้วหรือยัง คุณรู้หรือไม่ว่า ตอนนี้ องค์กรต้องการ “คนที่มีคุณลักษณะด้านพฤติกรรมและทักษะการทำงาน” แบบไหน ? รู้หรือยังว่า อีกสัก 5 ปี 10 ปี ประสบการณ์ ทักษะ และความสามารถที่คุณมีอยูกับการทำงานตรงนี้ จะยังเป็นที่ต้องการขององค์กรอยู่หรือไม่ ? แน่นอนครับ จะทำแบบที่ว่าในบรรทัดก่อนหน้านั้นได้ คุณต้องไม่แบก ego หรือแบกศักดิ์ศรีประมาณว่า “เรื่องของข้า ใครอย่าแตะ..” เอาไว้ให้หนัก ไม่เช่นนั้น คุณจะหวังคำแนะนำจากใครที่จะหาญกล้าเดินมาบอกให้คุณ (อาจจะ)ขัดเคืองใจ จริงมั้ยครับ
เชื่อผมเถอะครับว่า การสร้างความก้าวหน้าในอาชีพที่เริ่มจากความมุ่งมั่นของตัวเราเองที่ล่ะ จะช่วยปลุกปั้นความมั่นใจให้เราทำงานตรงหน้าอย่างบากบั่น ด้วยเพราะมองเห็นโอกาสก้าวหน้าเติบโต และเสริมสร้างจิตใจพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นอยู่เสมอ เอาไว้รองรับการเปลี่ยนแปลงขององค์กรและระบบงานที่จะมีขึ้น ตลอดจนถึงสร้างความต่าง (ทางทักษะและความสามารถ) เพื่อรองรับตลาดแรงงานที่แข่งขันกันอย่างไม่หยุดนิ่งแม้แต่สักเสี้ยวเวลา (Employability) เอาไว้คราวหน้ามาว่ากัน ผู้รู้เค้าแนะนำเรื่องนี้ไว้อย่างไร...หรือหากจะแชร์ไอเดีย แลกเปลี่ยนมุมมองกัน....อย่ารอช้าครับ...โปรดติดตามตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น