

กระแส Faithbook ที่กำลังมาแรงจัดของ Facebook ในขณะนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้านอยู่เสียแล้ว สำหรับเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้ย่นย่อโลกทั้งใบมาไว้เพียงแค่ปลายนิ้วมือ รวมทั้งโลกส่วนตัวของแต่ละคนที่ดูเหมือนจะกลายเป็นกระแส ‘เรื่องส่วนตัวในโลกสาธารณะ’ ที่ทุกอย่างจะถูกนำมาแชร์กันผ่านFacebook กันอย่างหมดเปลือกมากขึ้น ความเป็นบุคคลสาธารณะ แม้จะไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์หรือเซเลบริตี้ ชื่อดัง กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับสังคมโลกไซเบอร์ยุคนี้ ถ้าอย่างนั้นคุณพร้อมหรือยังที่จะเจอ เรื่องสุดเซอร์ไพรส์ในชีวิต ที่เกิดจากผลพวงของสังคมเครือข่ายออนไลน์บน Facebook เหมือนคนเหล่านี้ในเรื่องต่างๆ ดังนี้
เรื่องสาวเหวอ! ถูกขโมยรูปที่โพสต์บน Facebook
1..2..3..ยิ้มหน่อย!! นาทีแห่งความสุขของครอบครัวมิสซูรี่ (Missouri)ที่โพสต์รูปถ่ายของพวกเขาไว้ตอนช่วงคริสต์มาสเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำที่ดีที่ครอบครัวนี้ต้องการแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ของเขาบนFacebook ได้เห็น แต่มันไม่ได้อยู่แค่เพียงหน้าส่วนตัวบน Facebook ของพวกเขาเท่านั้น หากแต่ภาพแห่งความสขุของครอบครัวนี้ได้โชว์หราบนแผ่นป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ที่ร้านขายอาหารแห่งหนึ่งในกรุงปราก รูปถ่ายนี้ของพวกเขาได้กลายมาเป็นภาพโฆษณาที่ไม่ได้มีการขออนุญาตจากเจ้าของภาพเลยแม้แต่น้อย เจ้าของร้านค้าแห่งนี้ มาริโอ เบอร์ทุกซิโอ บอกว่า เขาได้นำภาพนี้มาจากอินเตอร์เน็ต และเขาก็ไม่รู้เลยว่ามันเป็นภาพของครอบครัวที่มีอยู่จริงๆ
เรื่องชวดเงินหลายล้านบาท เพราะภาพบนชายหาดภาพเดียว
นาตาลี แบรนชาร์ด เป็นสาว Facebook ที่โชคร้ายที่สุดในรอบปีที่ผ่านมาก็ว่าได้ เพราะบริษัทประกันที่เธอเป็นลูกค้าอยู่ปฏิเสธที่จะให้เงินค่าประกันรายเดือนที่เคยให้เธอตลอด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา เนื่องจากเธอเป็นโรคซึมเศร้า ทำให้เธอต้องออกจากงานที่บริษัทไอบีเอ็มที่โบรมองต์ ทั้งนี้เป็นเพราะทางบริษัทประกันพบว่า นาตาลีได้โพสต์รูปถ่ายขณะที่เธอกำลังสนุกสนานอยู่บนชายหาดแห่งหนึ่ง และกำลังเริงร่าอยู่ในปาร์ตี้วันเกิดของเธอเองอย่างมีความสุข ดังนั้นบริษัทประกันก็เลยคาดว่า เธอหายป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้วจึงงดการจ่ายเงินประกันและสิทธิที่เธอควรจะได้รับขณะป่วย งานนี้ไม่รู้ว่านาตาลีจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหนักกว่าเดิมอีกหรือเปล่า
เรื่องเจ้าบ่าวอัพเดทหน้า Facebook ขณะกำลังทำพิธี
‘เจ้าบ่าวจะรับเจ้าสาวเป็นภรรยาตลอดชีวิตหรือไม่’ ขณะที่บาทหลวงกำลังถามคำถามสำคัญที่สุดในชีวิตกับคนที่เป็นเจ้าบ่าวในงานแต่งงาน ขณะที่เจ้าบ่าวคือ นายดานา ฮันน่า นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ได้ใช้มือถือของเขาพิมพ์อัพเดทสถานภาพของตัวเองบน Facebook และ Twitter อยู่อย่างขะมักเขม้น ข่าวไม่ได้บอกว่า งานนี้เจ้าสาวของเขามีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ดูแล้วน่าจะเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการแต่งงานที่ค่อนข้างอึมครึมซะแล้ว
เรื่องภรรยาถูกสามีประกาศเลิกผ่านทาง Facebook
การบอกเลิกกันเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญเอาการสำหรับคู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันมานาน แต่การบอกเลิกผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้นดูจะเป็นการกระทำที่เกินไปสักหน่อย เอ็มม่า แบรดดีย์ หญิงสาววัย 35 ปี ช็อก เมื่อเธอได้เห็นสามีโพสต์บนอินเตอร์เน็ตว่า ‘เนล แบรดลีย์ ได้จบชีวิตแต่งงานกับ เอ็มม่า แบรดลีย์ แล้ว’ เอ็มม่าบอกว่า เธอไม่รู้จริงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ จนกระทั่งเพื่อนซี้ของเธอที่อยู่ในเดนมาร์กโทรมาเช็กว่าเธอโอเคอยู่หรือเปล่า หลังจากเพื่อนของเธอเห็นโพสต์นี้ก่อนเธอ อดีตสามีตัวดีคือ เนล แบรดลีย์ที่ขณะนี้กำลังอาศัยอยู่กับแม่ของเขาได้โพสต์เพิ่มเติมว่า ‘ในที่สุดผมก็สิ้นสุดกับเธอซะที’
เรื่อง 1 ในล้าน หนุ่มสาวชื่อ-นามสกุลเดียวกัน แต่งงานกันเพราะ Facebook
อะไรมันช่างบังเอิญอย่างนั้นสำหรับคู่รักคู่นี้ มันคงไม่ใช่เรื่องประหลาดสำหรับรักแรกพบบนออนไลน์ ถ้าพวกเขาไม่ได้มีชื่อและนามสกุลเหมือนกันเด๊ะ! ฝ่ายชายชื่อเคลลี่ ฮิลแบรนดท์ พบสาวสุดน่ารักจากฟลอริดาชื่อ เคลลี่ ฮิลแบรนดท์ และพวกเขาทั้งคู่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานด้วยกัน คู่รักบุพเพคู่นี้พบกันได้เมื่อเคลลี่ฝ่ายหญิง เกิดนึกสงสัยว่า จะมีใครชื่อเดียวกันกับเจ้าหล่อนบ้างบน Facebook ก็เลยเซิร์ชหาคนที่มีชื่อนี้ปรากฏว่า ชื่อของเคลลี่ฝ่ายชายก็ปรากฏขึ้นเป็นชื่อเดียว พร้อมรูปภาพที่ไม่ได้ใส่เสื้อของเคลลี่ชายที่โพสต์ไว้ เธอก็เลยคิด ‘โอ้ เขาน่ารักดีนะ’ แล้วเธอก็เลยเกิดอยากจะเซย์ไฮนิยายรักออนไลน์ของหนุ่มสาวคู่นี้ก็เริ่มขึ้นอีก 8 เดือนต่อมาจนกระทั่งแฮปปี้เอ็นดิ่งในที่สุด
เรื่องเด็กหญิงวัย 13 มีเซ็กซ์กับผู้ชายแปลกหน้าที่พบบน Facebook และซ่อนเขาไว้ในตู้เสื้อผ้า
เกิดอาการช็อกซีนีม่าขึ้น สำหรับคุณแม่ของเด็กสาววัย 13 เมื่อคนเป็นแม่เปิดประตูตู้เสื้อผ้าของลูกสาว แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลายเป็นเด็กผู้ชายอายุ 19 ซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้านั่นเอง ลูกสาววัยรุ่นยอมรับว่า เธอได้มีเซ็กซ์กับผู้ชายคนนี้หลังจากที่พบกับเขาบน Facebook และซ่อนเขาไว้ในตู้เสื้อผ้าเป็นเวลา 2 วัน คุณแม่ของเด็กสาวแจ้งความกับตำรวจทันที ผลก็คือ เฟสบุ๊ค โรมิโอ ก็ได้ถูกขังคุกโทษฐานกระทำชำเราผู้เยาว์นั่นเอง
เรื่อง พอลล่า ถูกหนึ่งในเพื่อนที่อยู่ในลิสต์บน Facebook ฉกรูป
ที่พ่อลล่าถ่ายไว้กับเพื่อนชายของเธอ และเธอนำมาโพสต์ไว้ในเน็ต จนกระทั่งเป็นข่าวดังครึกโครม พร้อมเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานา พอลล่าบอกว่าจรงิ ๆ แล้วในเป็นรูปที่โพสไว้บนหน้า Facebook ของเธอที่มีเฉพาะคนที่เป็นเพื่อนที่อยู่ในลิสต์เท่านั้นที่จะเห็น ครั้งหน้าเธออาจต้องซีเรียสกับการจะ add ใครสักคนเป็นเพื่อนในลิสต์เธอมากขึ้นเสียแล้ว
เรื่องร้องเรียนจากบรรดาญาติของครอบครัวที่ถูกคนร้ายฆาตกรรม
เรื่องมีอยู่ว่า เหล่าบรรดานักโทษที่ถูกคุมขังโทษฐานฆ่าคนตายนั้น ได้ใช้ Facebook เป็นเครื่องมือข่มขู่ญาติของผู้ตายเหล่านั้นว่า พวกเขากำลังรอที่จะพ้นโทษออกจากคุกและกลับไปแก้แค้นบรรดาญาติ ซึ่งทำให้บรรดาญาติของเหยื่อเกิดความหวาดกลัว จึงร้อวเรียนไปยังตำรวจและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้ประสานกับผู้บริหารของ Facebookในการถอดหน้า Facebook ของนักโทษเหล่านั้นออกจากระบบ
ก็อย่างที่ผมบอกไปว่าปีที่แล้วเป็นปีแห่ง Social Media อย่างแท้จริง ทีนี้เห็นไหมล่ะครับว่า มันมีอิทธิพลสูงขนาดไหน ผมถึงต้องเรียกว่าเป็นพลังแห่ง Faithbook!
เดี๋ยวนี้ใครไม่ใช้บริการ Facebook ถือเป็นคนที่เชยสุดๆ ในสายตาของนักท่องเน็ตเพราะปัจจุบันทั้งกลุ่มบรรดาเพื่อนๆ และสมาชิกครอบครัวได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนสิ่งที่พวกเขาสนใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ หรือเว็บไซต์ ผ่าน Facebook มากขึ้นขนาดที่ว่าหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโก ครอนิเคิล รายงานว่า บริษัทคอนฟิท อิงค์ซึ่งเป็นบริษัทประเมินด้านเว็บไซต์ระบุว่า การใช้เข้าไปใช้บริการ Facebook กลายเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้ชั้นนำเหมือนเว็บท่าหลัก อย่าง Yahoo และ MSNมากทีเดียว ตัวเลขที่ทางคอมพีท อิงค์จัดเก็บเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า 15%ของการเข้าไปใช้บริการเว็บท่าสำคัญ เช่น Yahoo, MSN และ AOL มาจากผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคม Facebook 13% อันดับสองคือ Ebay 7.61% อันดับสาม Google 7%และ My Space 2% นอกจากนี้ ตัวเลขจากผลสำรวจของ Pew Research Centerบ่งชี้ให้เห็นว่าความนิยมในบล็อกเริ่มลดลงในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งหันมาใช้บริการเครือข่ายชุมชนออนไลน์ อย่างเฟซบุ๊คแทน จึงไม่น่าแปลกใจที่วัยรุ่นถึง 73% หรือ 1 ในทุก3 คน รวมทั้ง 72% ของคนวัยหนุ่มสาวใช้บริการของเครือข่ายชุมชนออนไลน์อย่างเฟซบุ๊คและมายสเปซ (MySpace) แต่เมื่อแก่ตัวลง อายุมากขึ้น คนเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะใช้บริการเครือข่ายชุมชนออนไลน์ลดลง โดยเมื่อปี 2009 ผู้ใหญ่วัย 30 ปีขึ้นไปจำนวน 40% ใช้บริการชุมชนออนไลน์กรณีศึกษา ซึ่งปัจจุบัน Facebook มียอดผู้ใช้เกิน 500 ล้านทวิตเตอร์มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ไม่รวมตัวใหม่อย่าง Four Square ที่กำลังมาแรงแซงโค้งอาจกล่าวได้ว่า 2011 คือปีทองของ Social Media อย่างแท้จริง
เช่นนั้นแล้วเทรนด์ที่จะเกิดในปีนี้ล่ะ ก็ยังเป็นเช่นเดียวกับปีที่แล้ว นั่นคือ Facebook ยังเป็นพระเอกอยู่เหมือนเดิม ส่วน twitter ก็เป็นพระรอง Foursquare เป็นดาวรุ่งเหมือน ณเดชน์ คูกิมิยะ ยังไงยังงั้น Facebook จะเป็นหัวใจสำคัญของโซเชี่ยลมีเดีย
มาร์ค ซัคเคอร์เบอร์ก ซีอีโอก็คงหาทางที่เจาะตลาดประเทศที่เขาเข้าไม่ถึง เช่น รัสเซีย จีน(ซึ่งรัฐบาลบล็อก) ญี่ปุ่น(ซึ่งชาวยุ่นเล่นทวิตเตอร์มากกว่าเฟสบุ๊ก)เพื่อเพิ่มยอดผู้ใช้ให้มากที่สุดก่อนจะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆยั่วใจผู้ใช้ทั่วหล้า คำถามก็คือจากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้นกับ FaceBook twitter และสื่อเครือข่ายทางสังคมอื่นๆ คำตอบก็คือเทรนด์ร้อนแห่งปี 2011 ก็คือ Social Commerce ซึ่งมาจากสองคำก็คือ Social Media + E-Commerce ซึ่งพออธิบายได้ว่า Social Commerce คือการใช้ Social technology ในการยกระดับ Shopping experience ให้ดีและสะดวกยิ่งขึ้น "นี่เรากำลังเข้ามาถึงยุคที่เราควรจะนึกต่อยอด Social Technology ว่าสามารถเอามาทำอะไรให้กับผู้บริโภคได้บ้าง?"

เราจะติดต่อสื่อสารและทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้คนช้อปปิ้งกันให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร?
เราจะ design ประสบการณ์ในการซื้อของผู้บริโภคใหม่ได้อย่างไร?
เราจะสร้างความน่าติดตามของสินค้าและบริการ ด้วย Social Technology ได้อย่างไร?
ผมขอชี้ว่าปีนี้ 2011ตัวที่จะมีบทบาทอย่างมากในการทำ Social Commerce ก็คือ Facebook นี่เองเพราะปีนี้จะเป็นปีที่ Facebook จะพัฒนาระบบ E Commerce ไว้ในเว็บของตน จากเดิม Facebook เป็น Social Media ที่เอาไว้พูดคุย เล่นเกม โพสต์รูป เขียนเรื่อง แนะนำสินค้าใหม่ บอกความเคลื่อนไหวของแบรนด์ ในเชิงการตลาดเอาไว้สร้าง Brand Engagement เกิด Conversation แบรนด์ดังก็ต้องสร้างระบบอีคอมเมอร์ซของตน คือเปลี่ยนบทสนทนาหรือ Engagement ให้กลายมาเป็นยอดขายให้ได้ ความสำเร็จของเว็บ groupon ที่ผู้บริโภครวมตัวกันเป็นกลุ่มจนได้คูปองส่วนลด(group+coupon) ตามที่ตนเองต้องการนั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านโปรโมชั่นขนานใหญ่ ซึ่งเท่ากับว่าผู้บริโภคเมื่อรวมตัวกันได้จำนวนหนึ่ง เช่น 100 คนหรือกระทั่ง 1,000 คน ก็สามารถสร้างอำนาจต่อรองกับเจ้าของแบรนด์ได้
ขณะเดียวกันผู้ซื้อก็พึงพอใจเพราะแบรนด์ของตนเท่ากับเป็นการขายตรง ไม่ต้องเสียส่วนแบ่งให้กับเจ้าของเจ้าของร้านหรือเจ้าของห้าง เอาส่วนลดตรงนี้มาให้ผู้บริโภคจะดีกว่า แต่ปัญหาก็คือหากกลุ่มผู้บริโภครวมตัวกันมากขึ้นและบ่อยขึ้นก็อาจจะเปลี่ยนไปซื้อทางอีคอมเมอร์ซมากขึ้นเพราะรวมตัวกันต่อรองแล้วได้ของถูก ต่อไปแบรนด์นั้นอาจจะเกิด Conflict of interest กับการขายถูกตามแรงต่อรองของกลุ่มผู้บริโภคก็เป็นได้ ดังนั้น เทรนด์ในปีนี้ก็คือการต่อยอดจาก Social Media ไปสู่ Social Commerce โดยมี Facebookเป็นแกนกลางสร้างระบบอีคอมเมอร์ซไว้รองรับโดยไม่จำเป็นต้องไปสร้างระบบอีคอมเมอร์ซของตนเองเฉกเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็หมายความว่าจากนี้ไป SMEก็ใช้ Facebook เป็นเว็บที่ทำธุรกรรมได้เลย ไม่ใช่เพื่อ MKT Comสร้างบทสนทนาหรือ Engagementเท่านั้น สรุปแล้ว Social Commerce คือโอกาสทางธุรกิจที่ดีของปีนี้เลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น