วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พาเที่ยว...ไต้หวัน


ถ้าการเสาะแสวงหาเป็นสัจธรรมหนึ่งของมนุษย์ ก็ไม่น่าแปลกใจที่ทำไม โลกนี้ไม่เคยขาดนักเดินทาง ไม่ว่า..การค้นพบอเมริกาของโคลัมบัส จะยิ่งใหญ่กว่าบทบันทึกการเดินทางของมาร์โคโปโล หรือไม่ คาราวานเรืออันไกรเกรียงของเจิ้นเหอ นั้นล่องสู่สุดขอบโลกได้ถึงไหน เส้นทางสายไหมจะทรงคุณค่ากว่าหมู่เกาะเครื่องเทศสักเท่าไร กระทั่งการขี่จักรยานข้ามถนนครั้งแรกในชีวิตเด็กน้อย เป็นอย่างไร แต่เชื่อเถอะว่า ความรู้สึกระหว่างนั้นแทบไม่ต่างกันเลย เหมือนกับ วลีอุทานจากนักเดินเรือชาวโปรตุเกสคนนั้น "ฟอร์โมซา!" Ilha Formosa - เกาะอันสวยงาม ประโยคเปรียบเปรยของปี ค.ศ. 1517 นั้น ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ "เกาะไต้หวัน" บนแผนที่โลกในเวลาต่อมา จนเกือบ 500 ปีให้หลัง "ไต้หวันมีอะไรเที่ยว ?" คำถามจากเหล่านักธุรกิจมักเป็นทำนองนั้น เพราะเกาะพื้นที่ขนาด 7 จังหวัดภาคตะวันออกของไทย ที่มีสถานะเป็นเมืองอุตสาหกรรมอันดับ 14 ของโลก และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากเป็นอันดับ 4 ของโลก ยั่วหนังสือสัญญาลงทุนได้ดีกว่าแผนที่เดินทางเป็นไหนๆ "แต่ละสถานที่ ต่างก็มีเสน่ห์อยู่ในตัวเอง" ใครบางคนในบทบาทนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวเสนออีกมุมมอง

ถ้าอย่างนั้น จริงๆ แล้ว หน้าตาของ "ไต้หวัน" เป็นอย่างไรกันแน่ ฉายา ไข่มุกแห่งทะเลจีนใต้ ระยะทางกว่า 160 กิโลเมตรจากมณฑลฝูเจี้ยน อาจทำให้ไต้หวันดูเป็นภาพเลือนรางสำหรับคนจีนแผ่นดินใหญ่ แต่นั่นยังไม่เท่าความผูกพันของไต้หวันที่คาบเกี่ยวอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์การเมือง (โดยเฉพาะจีนกับนานาชาติ) เสมอมา คนแผ่นดินใหญ่อพยพมาที่นี่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ก่อนที่นักเดินเรือจากโปรตุเกสจะมาอุทานชื่อทิ้งไว้ จนปี 1624 บรรดาดัตช์แมนก็เข้ามายึดเกาะไว้ในอาณัติ สร้างบ้านแปงเมืองได้ 2 ปี สเปนจึงมาแย่งเอาไป ก่อนชาวดัตช์จะยึดคืนกลับมาได้หลังจากนั้นอีกปี จนช่วงคาบเกี่ยวราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง (ราวปี 1660) เจิ้นเฉินกง แม่ทัพเรือของจีน ก็สามารถแย่งเกาะกลับคืนมาได้สำเร็จ ต่อมา จีนก็เสียเกาะฟอร์โมซาให้กับญี่ปุ่นยึดครองอยู่จนจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงคืนให้ในที่สุด ภายหลังความขัดแย้งระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีน กับพรรคก๊กมินตั๋ง นายพลเจียง ไคเช็ค กับคนจากแผ่นดินใหญ่อีกกว่า 1 ล้าน 5 แสนคน ก็ได้ย้ายมาตั้งรกรากที่นี่ และกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับจีนจนถึงทุกวันนี้

ความน่าสนใจของเรื่องนี้อยู่ตรงวัฒนธรรมของคนไต้หวันเองที่ประกาศเต็มปากเต็มคำว่าพวกเขาเป็น "คนไต้หวัน" ไม่ใช่คนจีน พวกเขาพูดภาษาไต้หวัน (Taiwanese) ไม่ใช่ภาษาจีนกลาง (Mandarin) ของจีนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งความพยายามยืนยันสถานะ "รัฐ" หนึ่งในเวทีสากล ภาพความเจริญงอกงามทางภาคอุตสาหกรรม และความเป็นเมืองจึงค่อนข้างชัดเจนจนสัมผัสได้ อย่างน้อยบนวิวชั้น 89 ของ ตึกไทเป 101 (Taipei 101) แลนด์มาร์กประจำย่านการเงินของไทเป ศูนย์กลางของเกาะไต้หวัน ความสูง 509 เมตรของตัวตึก ครั้งหนึ่งได้ส่งชื่อของไทเป 101 ขึ้นไปแปะป้าย "ตึกที่สูงที่สุดในโลก" อยู่ 6 ปี ก่อนจะเสียแชมป์ให้กับตึกบอร์จ คาลิฟาร์ (Burj Khalifa)ของดูไบ ไปเมื่อ กลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 แต่ลิฟต์ที่นี่ก็ยังครองตำแหน่งลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก (ด้วยความเร็ว 37.7 ไมล์ต่อชั่วโมง จากชั้นที่ 5 ของอาคาร ขึ้นไปยังชั้นที่ 89 ซึ่งเป็นจุดชมวิวโดยใช้เวลาเพียง 37 วินาทีเท่านั้น) อยู่ดี

รายละเอียดของเมืองถูกแปะป้ายติดอยู่ด้านหน้ากระจกเพื่อสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวในการเปรียบเทียบ ความแออัดของเมืองอุตสาหกรรมทำให้ถึงสภาพภูมิประเทศจะอุดมไปด้วยภูเขาถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมดเราก็ยังสามารถเห็นภาพสิ่งปลูกสร้างแซมแนวเขาธรรมชาติอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถขึ้นไปรับลมบนได้ที่ชั้น 91 ลักษณะของตึกมีรูปทรงคล้ายปล้องไผ่ ซ้อนกัน 8 ปล้อง ตกแต่งด้วยรูปหัวมังกรที่มุมอาคารทั้ง 4 ด้านทุกปล้องเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจ ตามหลักฮวงจุ้ย อีกทั้งยังขับเปล่งความรุ่งเรืองเพื่อให้เกิดขึ้นกับไต้หวันด้วย นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่นำมาใช้ภายในตัวตึกก็ถูกออกแบบมาให้รองรับกับสภาพภูมิศาสตร์ซึ่งอยู่ในเขตภูเขาไฟและแผ่นดินไหว นั่นคือ ลูกตุ้มเหล็กหนัก 662 ตัน (เอกสารบางฉบับกล่าวว่าหนัก 800 ตัน) มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เมตร คอยช่วยถ่วงการเคลื่อนไหวของตึกในช่วงกระแสลมแรงให้สามารถทรงตัวได้อย่างมั่นคง ส่วนภายในอาคารจัดแบ่งเป็นชั้นสำนักงาน และห้างสรรพสินค้าต่างๆ "ที่นี่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และสินแร่มากมาย อันเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ไต้หวันพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว" ใครคนหนึ่งให้เหตุผลว่าทำไมเกาะแห่งนี้ถึงไม่ต่างจากอัญมณีเม็ดงามของทะเลจีนใต้

หากถามว่า ฮ่องกง ไต้หวัน เซี่ยงไฮ้ ต่างกันแบบไหน คำตอบที่ได้คงไม่ต่างกันมากนัก ความแออัดของสิ่งปลูกสร้าง สีสันกลางคืน การเติบโตทางเศรษฐกิจ และ "คนจีน" "ต้องไม่ลืมว่า ไต้หวันไม่ใช่จีน" คนไต้หวันบางคนเตือน แต่จีนก็ยังกุมไต้หวันไว้...ไม่ยอมปล่อย ไม่ใช่หรือ

ที่นี่มีถนนคนเดินเหมือนกัน แต่ไม่ได้เดินตามถนน ต้องไปเดินตามย่าน-ร้าน-ตลาดที่ดูเหมือน รองเท้าแบนด์อาทิตย์อุทัยอย่าง "โอนิซึกะ ไทเกอร์"(รองเท้าที่ อูม่า เธอร์แมน ใช้โลดแล่นเตะปากเหล่าวายร้ายในภาพยนตร์เรื่อง Kill Bill)จะเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันดี เมื่อได้ย่างเท้ามาถึงที่นี่ ไม่เพียงเท่านั้น อุปกรณ์ประกอบการแต่งองค์ทรงเครื่อง ทั้งที่คุ้นหูคนไทย และไม่คุ้นหูต่างก็ได้รับการการันตีว่า "ถูกกว่า" "แต่ก็ไม่เท่าฮ่องกงนะ" บางเสียงออกความเห็น อย่างว่า บรรยากาศคนละประเภท ย่อมให้รสไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เพราะถึง "ไถวานแฟชันนิสต้า" จะไม่ได้ "จ๋า" เหมือนอย่างฮาราจูกุ หรือเมียงดง แต่เทรนด์วัยรุ่นไต้หวันก็ยังเดินทางเร็วพอๆ กับไวไฟอินเทอร์เน็ตที่มีให้ใช้ไม่ต่ำกว่า 15 เมกะไบต์เหมือนกัน แหล่งช็อปปิ้ง และย่านวัยรุ่นจึงมีอยู่มากมาย ตั้งแต่ ซื่อหลินไนท์มาร์เก็ต ชื่อย่านกลางคืนอันดับต้นๆ ของคู่มือนักท่องเที่ยว รู้กันว่า มีของขายทุกประเภทตั้งแต่ เครื่องประดับ เสื้อผ้า จนถึงขนมขบเคี้ยว เกม และตลาดนัด แบ่งเป็น 2 โซน คือ ตลาดอาหารพื้นเมืองและตลาดคนเดิน

เรื่องของกินแน่นอน ผมว่าของกินขึ้นชื่อก็คือ ชานมไข่มุก ไก่ทอดยักษ์ และเต้าหู้เหม็น ใกล้ๆ กันคือ ตลาดกลางคืนฮวาชี ตั้งอยู่ติดกับวัดหลงซานที่โด่งดังนั้นก็ดังในเรื่องของสตูว์เนื้อ ก๋วยเตี๋ยวปลาไหล กุ้งแช่ไวน์ และอาหารที่ทำจากงู ซึ่งทำให้ตลาดนี้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ตรอกงู"
ย่านที่เปรียบเทียบกับสยามสแควร์เมืองไทย เป็นแหล่งชุมนุมของวัยรุ่นอีกแห่งก็คือ ซีเหมินติง และเหลาเหอไนท์มาร์เก็ต เพราะนอกจากจะเป็นย่านถนนคนเดิน แหล่งชอปปิง กิน เที่ยวที่โด่งดังในเมืองไทเปแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมแห่งแฟชั่นทั้งสไตล์ ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น รุ่นใหม่ทันสมัยให้เลือกซื้อ หากต้องการบรรยากาศย้อนยุคก็สามารถไปที่ หัวซีไนท์มาร์เก็ต ไนท์มาร์เก็ตสายแรกของเมืองไทเป ที่มีอายุกว่า 200 ปี และของที่ขึ้นชื่อที่นี่ก็คือ สารพัด "ยาโด๊ปแผนโบราณ" ทั้งหลาย หรือขาช็อปเสื้อผ้าที่รู้จักกันดีก็คือ อู่เฟินผู่ ตลาดค้าส่งเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดของไทเป รุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง เมื่อก่อนเป็นที่ดินของชาวเผ่า "ผิงผู่จู๋" และต่อมาชาวฮั่นได้รวมตัวกันเพื่อซื้อที่ดินผืนนี้ จนกระทั่งปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางตลาดค้าส่งชื่อดังของไทเป "แต่ร้านที่นี่จะไม่มีวางขายตามรายทางนะ" ข้อสังเกตชวนคิดไม่ต่างจากประโยคที่ว่า "หลังเที่ยงคืนจะหาร้านเปิดได้น้อยมาก" ร้านโต้รุ่งที่นี่ จะสามารถตั้งโต๊ะออกมาบริเวณไหล่ทาง (ทางเท้า)ได้เพียง 4 ทุ่มเท่านั้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว จะต้องเคลียร์กับเจ้าหน้าที่ และ "ค่าปรับ" ก็ไม่ใช่น้อยๆ "มี 6 หลักน่ะ ค่าปรับ" - หมายถึงเมาแล้วขับด้วย ถ้าอย่างนั้น "ไนท์ไลฟ์ไต้หวัน" เป็นแบบไหน "นั่งกินในร้านข้าวต้ม เสร็จแล้วก็กลับบ้าน เตรียมตัวไปทำงานวันรุ่งขึ้น" เจ้าของคำตอบอธิบายง่ายๆ "แต่ถ้าอยากนั่งทั้งคืนก็ต้องไปที่โน่น" เขาพูดต่อพลางชี้นิ้วเป็นแนวนำสายตา ไปยังย่านตึกแถวถนนฝั่งตรงข้าม ไฟร้านสะดวกซื้อ และโลโก้ตัวเลขที่คุ้นเคยดูจะสว่างสุดในแถบนั้น "เพราะไต้หวันมีร้านสะดวกซื้อเยอะที่สุดในโลกไงครับ" หลังคำพูดนี้ เสียงหัวเราะก็ค่อยๆ ดังขึ้น

ใครอยากเปลี่ยนอารมณ์ไปที่ทาโรโกะ
"ของที่นี่ดู 100 ปี ก็ไม่หมด" ส่วนจัดแสดงของ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กง คือความหมายของคำบอกเล่านี้ เป็นสถานที่เก็บศิลปวัตถุและผลงานทางศิลปะของจีนโบราณ บางชิ้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปถึง 5,000 ปี พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกู้กง เป็นที่รู้จักในฐานะ 1 ในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีสมบัติ และวัตถุโบราณของจีนเก็บรักษาไว้กว่า 620,000 ชิ้น จากทุกราชวงศ์ของจีน โดยหมุนเวียนออกมาจัดให้ชมทุก 3 เดือน (ชุดละ 5,000 ชิ้น) อาทิ ภาพวาดโบราณ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องทองสำริดต่างๆ เป็นต้น

ส่วนวัตถุโบราณที่ถือว่าเป็น "ชิ้นเอก" จัดแสดงเป็นพื้นที่นิทรรศการถาวรก็คือ หยกผักกาดขาว หยกหมูสามชั้น และเรือแกะสลักจากลูกวอลนัท "ชิ้นนี้ใช้เวลาแกะ 10 ปี ใช้ช่าง 13 คน และทุกคนตาบอดหลังทำงานเสร็จทั้งหมด" นั่นคือเรื่องราวของ "งาช้างสลักลาย" ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของเครื่องประดับชิ้นนี้ก็คือ ภายในมีลูกตะกร้อสลัก 17 ลูก แต่ละลูกหมุนออกจากกันโดยอิสระ และทั้งหมดทำจากงาช้างชิ้นเดียวกัน รูปปั้นสตรีสมัยราชวงศ์ถัง ที่สันนิษฐานว่า เป็นรูปปั้นของ หยางกุ้ยเฟย 1 ใน 4 ยอดหญิงงามแห่งแผ่นดินจีน ก็อวดโฉมฝีมือของช่างโบราณได้อย่างน่าศึกษา หรือกระทั่ง ตราลัญจกร ของจักรพรรดิเฉียนหลง ก็อยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เสียงจอแจของผู้คนที่แวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ศิลปวัตถุที่อยู่ที่นี่นั้น "สูงค่า" ขนาดไหน ไม่เฉพาะมรดกทางวัฒนธรรมจากบรรพบุรุษที่แผ่นดินใหญ่ แต่เอกลักษณ์ทางธรรมชาติของตัวเกาะเองก็น่าค้นหาไม่ต่างกัน เพราะทั้งเกาะอุดมไปด้วยภูเขา เมื่อพ้นจากเขตเมือง ถนนจึงค่อยๆ ไล่ระดับความสูงตามแนวเทือกเขาที่สลับซับซ้อน บางช่วงของทางเลียบไหล่เขา ทั้งสวยและเสียว บางช่วง ถนนปูทางอยู่บนเสาคอนกรีตความสูง 90 เมตร วนทางไม่ต่างจากรางรถไฟในสวนสนุก บางช่วง ช่องอุโมงค์ผ่านภูเขาทะลุยาวกว่า 12 กิโลเมตร หรืออย่างที่ อุทยานแห่งชาติทาโรโกะ อุทยานภูเขาหินอ่อนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ลักษณะช่องเขาที่มีหน้าผาสูงชัน ประกอบด้วยหินอ่อนสลับกับหยกที่เรียงรายไปตลอดทาง ขณะที่ด้านล่างมีธารน้ำแร่ "ลี่อู" ไหลผ่าน นอกจากหยาดเหงื่อแรงกาย หรือกระทั่งชีวิตของผู้คนรุ่นก่อนที่สร้างถนนหนทางให้คนรุ่นหลังได้ใช้งาน ความผสานลงตัวของธรรมชาติ ที่หลายๆ คนเปรียบเปรยดุจ "สวนสวรรค์สีขาว" เหล่านี้ เมื่อเทียบกับการเดินทาง ก็ตอบได้แทบไม่ต้องคิดเลยว่าคุ้ม "มุมนี้ไงที่อยู่ในโปสเตอร์โปรโมทการท่องเที่ยว" เสียงตะโกนเรียกพรรคพวกให้มาดู "มุมเฉพาะ" ตามสไตล์การท่องเที่ยวแบบไทยๆ "เอ้า ยิ้มนะ 1... 2...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น