วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Dare to Dream & DO


จากเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนชาวต่างประเทศท่านหนึ่ง เขามีข้อคิดดีดี ทำให้ผมอดไม่ได้ขอเอามาเขียนถ่ายทอดให้อ่านกัน เป็นแนวคิดที่น่าสนใจที่ต้องขอนำมาแบ่งปันกัน เขาเล่าว่า เขาเคยได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกทีมที่ทำงานด้วยกัน ในเรื่องของการปรับปรุงระบบการทำงานในบริษัทให้ดีขึ้นกว่าเดิมที่เคยเป็นมา โดยที่เขาเองก็ถามแต่ละคนว่า อยากจะเห็นหน่วยงานของพวกเรา หรือบริษัทของเราเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในทางทีดีขึ้นไหม ผลที่ได้ก็คือ
เพื่อนผมได้คำตอบมาเยอะแยะมากมาย เช่น “อยากให้บริษัทเราเจริญรุ่งเรือง” 
“อยากให้มียอดขายที่เพิ่มขึ้น” “อยากขยายสาขาออกไปยังต่างประเทศ” “อยาก เป็นที่หนึ่งในธุรกิจนี้” ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความคิดที่ดี และน่าทำทั้งนั้น เนื่องจากว่าเป็นการพัฒนาจากของเดิมที่มีอยู่ให้มันดีขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตเห็นในที่ประชุมก็คือ จะมีคนอยู่ -1-2 คน ที่ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น แถมยังชอบวิจารณ์ความคิดเห็นคนอื่นในทางลบอีกต่างหาก และมักจะมีคำพูดอออกมาจากปากพนักงาน 1-2 คนนี้ว่า
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก” หรือ 
“ผมว่าความคิดคุณมันเกินจริงไปหน่อยนะ แค่ทำแบบแบบที่เป็นอยู่นี้ยังยากเลย” หรือ 
“ไม่ได้หรอก!! ผมว่าสิ่งที่คุณเสนอมันผิดหลักการทำงานแบบเดิมๆ ของเรานะ ไม่มีใครเคยทำแบบนั้นมาก่อนเลยนะครับ”

เพื่อนผมนั่งฟังการประชุมแล้วก็แอบจดเอาคำพูดของลูกทีมมานั่นแค่ตัวอย่างเล็กๆ เท่านั้น หลังจากที่เถียงกับไปมาอยู่พักใหญ่ เขาก็ยุติการถกเถียงกัน โดยเริ่มถามคำถามทุกคนในที่ประชุมโดยให้ทุกคนตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงของ ตัวเอง
“คำถามแรกที่เพื่อนผมจะถามพวกพนักงานเราก็คือ อยากให้บริษัทอยู่รอด และเจริญก้าวหน้า ต่อไปใช่หรือไม่ ?

คำตอบที่ได้มา 100% เต็มก็คือ “ใช่”
“แล้วพวกเราอยากจะทำงานแบบเดิมๆ ไปวันๆ โดยไม่ได้รับการพัฒนาเลยใช่หรือไม่?”

คำตอบที่ได้รับมา 100% ก็คือ “ไม่ใช่”
ในเมื่อทุกคนอยากให้บริษัทก้าวหน้าเติบโต แต่ทำไมยังมีบางคนตั้งหน้าตั้งตาค้านในสิ่งที่เสนอ มาล่ะครับ” เพื่อนผมโยนคำถามเข้ากลางที่ประชุม “ผม ไม่ได้ค้านนะครับพี่ แต่ลองพิจารณาดูถึงความเป็นจริงสิครับ ผมว่ายังไงเราก็ทำตามนั้นไม่ได้ เพราะไอ้แค่สิ่งที่เราทำอยู่ยังทำได้ไม่ดีเลย แล้วจะทำอะไรเพิ่มอีกละครับ” พนักงานที่ค้านเริ่มให้เหตุผล
“แต่สิ่งที่หนูเสนอนั้นเป็นระบบงานใหม่ที่จะทำให้สิ่งที่เราทำอยู่เดิมๆ นั้นได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น แถมพวกเราเองก็จะสบายมากขึ้นด้วย” เจ้าของไอเดียชี้แจง
“มันก็จริง แต่ผมว่าเราจะเหนื่อยขึ้น แถมยังไม่รับประกันด้วยว่า สิ่งที่ทำใหม่นั้นจะสำเร็จได้เมื่อไร” ฝ่ายค้านพูด “ทำไมเราไม่รอให้พร้อมก่อนล่ะครับ”

เพื่อนผมก็เลยถือโอกาสแทรกตัวเข้าไปในการถกเถียงอีกครั้งหนึ่งว่า “ถ้า พวกเราอยากให้บริษัทดีขึ้น อยากให้บริษัทพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น แต่พวกเรากลับไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แล้วบริษัทเราจะดีขึ้นตามที่เราคิดไว้จริงหรือ 
การที่เราทำงาน หรือทำทุกอย่างเหมือนเดิมทุกวันๆ ๆ วันแล้ววันเล่า แต่กลับคาดหวังในสิ่งที่ดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ผมว่าผลที่เราต้องการยังไงมันก็่เกิดขึ้นไม่ได้เลย” เพื่อนผมพูดต่อ
“สิ่งที่เราต้องทำก็คือ เมื่อเรามีความคิดอยากพัฒนา อยากให้บริษัทก้าวหน้า สิ่งที่พวกเราจะต้องร่วมกันทำก็คือ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ บางคน อาจจะต้องเริ่มศึกษาระบบงานใหม่ บางคนอาจจะต้องยอมที่จะตื่นเช้าหน่อย บางคนอาจจะต้องกลับบ้านดึกอีกนิดนึง แต่สิ่งที่ทำไปนั้นก็แค่ระยะเริ่มต้นเท่านั้น พอระบบเสร็จแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ทุกคนจะทำงานได้อยากสบายขึ้น โดยให้ผลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม”

การที่ผมเขียนเล่ามาทั้งหมดนี้ ต้องการให้คุณผู้อ่านเห็นประเด็นเดียวก็คือ การที่เราอยากจะก้าวหน้าอยากเก่ง อยากพัฒนา อยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากรวย อยากมีเงินเดือนเยอะๆ ฯลฯ ความต้องการหรือความอยากทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงเป้าหมาย และการไม่ต้องการอยู่นิ่งกับที่ แต่หลังจากที่เราอยากเป็น อยากทำ แล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ ถ้าเรายังคงการกระทำทุกอย่างเหมือนเดิมใช้ชีิวิตแบบเดิมๆ
เช่น ตื่นสายเหมือนเดิม ไม่อ่านหนังสือเหมือนเดิม ขึ้เกียจเหมือนเดิม
ยังนั่งหน้าทีวีเหมือนเดิม ฯลฯ แต่เรากลับคาดหวังในสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ผมขอหน่อยถามว่า
มันจะเป็นไปได้หรือไม่ หรือเป็นไปได้มากขนาดไหนครับ

สรุปก็คือ ถ้าอยากให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า หรือมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
สิ่งที่เราต้องทำให้ได้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเราเอง เราต้องเลือกทางเดินใหม่ที่ไปสู่เป้าหมายของเรา เช่น เลือกที่จะไม่ดูทีวี เพื่ออ่านหนังสือมากขึ้น เลือกที่จะตื่นเช้า เพื่อที่จะได้ออกกำลังกาย เลือกที่จะพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะได้ผลงานที่ดีขึ้น และได้เงินเดือนขึ้นตามมา เป็นต้น

ชีวิตเราเอง เราเลือกได้นะครับ อย่าให้ความสบายมาเป็นอุปสรรคในเป้าหมายของเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น