วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

The Last Airbender


เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักกันเล่าข้อคิดดีๆที่ ได้จากหนังเรื่อง The Last Airbender จนเมื่อเร็วๆนี้ก็ได้มีโอกาสซื้อแผ่นดีวีดีมานั่งดูที่บ้าน อนึ่งก็อยากจะดูด้วยตาตนเองว่าข้อคิดดีๆเหล่านั้นซ่อนไว้ที่ไหนบ้าง และสองเพราะผู้เขียนมีข้อสงสัยว่าทำไมนาย M.Night จึงเลือกเอาการ์ตูนมาทำเป็นหนังของตัวเอง ทั้งที่ผ่านๆมาหนังของ M.Night ไม่ใช่สไตล์นี้เอาเสียเลย อย่างไรเมื่อได้ดูจนจบถึงได้เล็งเห็นว่าคำถามก่อนดูทั้งสองนั้นจริงๆแล้วมีเหตุผล เดียวกัน นั่นคือ เพราะการ์ตูนเรื่องนี้ซ่อนความคิดดีๆนี่เอง ที่พอเป็นเหตุผลสำคัญให้คิดได้ว่านี่แหละคงเป็นเหตุที่นาย M.Night เลือกการ์ตูนเรื่องนี้มาทำเป็นหนัง อีกทั้งยังยอมที่จะเปลี่ยนแนวสไตล์การทำหนังของเค้าอีกด้วย

จริงๆ แล้ว ถ้าใครได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ ก็น่าจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้ยังมีตอนต่อไป เพราะเรื่องนี้เป็นเพียงปฐมบทของทั้งสี่บทเท่านั้น เป็นเรื่องในตอนของธาตุน้ำ โดยยังมีตอนที่เหลืออีกสามธาตุ นั่นคือ ดิน ลม ไฟ เริ่มเรื่องด้วยฉากที่ขั้วโลกอันเป็นที่อยู่ของชนเผ่าน้ำ(Water Nation) โซกกะ (Sokka) และ คาทาระ (Katara) สองพี่น้อง จู่ๆก็พบลูกบอลน้ำแข็งใหญ่ยักษ์โดยบังเอิญ คาทาระ เด็กสาวใจกล้า บุคคลเดียวในเผ่าวารีใต้ที่สามารถควบคุมธาตุได้ ก็เข้าไปเจาะลูกบอลน้ำแข็งจนกระทั่งลูกบอลนั้นแตก โดยมีแสงไฟจากลูกบอลพุ่งตรงขึ้นไปบนฟ้า ในที่สุด คาทาระและโซกกะ พี่ชาย ก็พบร่างเณรน้อยกับตัวประหลาดยักษ์นอนอยู่


เมื่อพาเณรน้อย กลับไปยังหมู่บ้านของตน ก็ประจวบเหมาะกับการมาเยือนของ ซุกโก (Zuko) ราชโอรสแห่งดินแดงอัคนี เจ้าอาณานิคมเหนือทั้งสามเผ่า ที่เดินทางทั่วโลกเพื่อตามหาบุคคลตามตำนานที่กล่าวว่า เป็นอวตาร(Avatar)ที่จะลงมาช่วยชนเผ่าต่างๆกลับมาสงบสุขอีกครั้ง โดยอวตารองค์นี้จะมาเกิดใหม่ในเผ่าวายุ(ลม) โดยเป็นผู้เดียวที่สามารถควบคุมธาตุทั้งสี่ธาตุได้ ที่สำคัญยังเป็นผู้ที่สามารถติดต่อกับโลกทางจิตวิญญาณ(The Spirit World) ซุกโก เจ้าชายแสนอาภัพที่ถูกอัปเปหิจากดินแดงของตน เนื่องจากราชบิดาทรงกริ้วที่เป็นบุตรชายไร้ความสามารถ โดยมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งว่า เจ้าชายจะกลับไปมีเกียรติอีกครั้งได้หากสามารถจับบุคคลอวตารดังกล่าวมาให้ พระราชบิดา ในที่สุดซุกโกก็ได้พบกับเณรน้อย นามว่า อัง(Aang) รูปร่างภายนอกของอัง เป็นเด็กน้อยอายุ 12 ปี แต่แท้จริงแล้ว อังนั้นมีอายุร้อยกว่าปี เนื่องจากอังเคยเดินทางหนีออกจากเผ่าของตนเมื่อร้อยปีที่แล้ว แต่จู่ก็ถูกพายุพัดจนตัวเองไปติดอยู่ในลูกบอลน้ำแข็งเป็นเวลาร้อยปีจน กระทั่งคาทาระและโซกกะมาพบเข้า ตามร่างกายของอังเต็มไปด้วยรอยสัก แต่สิ่งที่สะดุดตามากที่สุด คือรอยสักรูปหัวหอกบนหน้าผากของเค้า ซึ่งรอยสักนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นเป็นผู้ควบคุมธาตุลม และอังคือผู้ควบคุมธาตุลมคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลก เมื่อซุกโกพบอัง ซุกโกได้จับตัวอังไป แต่ในที่สุดอังก็ใช้ความสามารถหลบหนีออกมาจากเรือกลไฟ ซึ่งเป็นพาหนะของชาวอัคนี

อังได้กลับมาพบกับโซกกะและคาทาระ อีกครั้ง อังและเพื่อนเดินทางกลับไปที่เมืองของเค้า แต่สิ่งที่อังพบกลับกลายเป็นเมืองร้างที่เต็มไปด้วยซากกระดูกของญาติพี่น้อง อาจารย์ของเค้า ด้วยความโกรธแค้น จู่ๆอังก็เกิดอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา ในชั่วขณะที่เค้าเกิดอิทธิฤทธิ์นั้น อังได้เข้าไปในโลกวิญญาณ เค้าได้พบกับมังกร เทพที่คอยดูแลปกปักษ์รักษาโลก เทพมังกรได้กล่าวกับอังว่า อังคือองค์อวตาร อังจำเป็นต้องฝึกฝนการควบคุมธาตุที่สี่เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้กลับมาสงบสุข อีกครั้ง จากนั้น เมื่ออังจึงพ้นจากความโศกจึงชักชวนเพื่อนเดินทางไปยังดินแดนแห่งดินซึงตก อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของชนเผ่าไฟ ทั้งสามได้ช่วยกันปลดปล่อยเมืองเล็กต่างๆของชนเผ่าดิน และได้ช่วยให้ชนเผ่าดินได้พบตำราการฝึกควบคุมธาตุดิน เนื่องจากชนเผ่าไฟได้ยึดตำราและจับผู้ควบคุมธาตุทุกธาตุไปเพื่อให้ธาตุทั้ง สามไม่สามารถต่อกรกับชนเผ่าของตนได้ อังได้เริ่มฝึกการควบคุมธาตุน้ำจากคาทาระ แต่เพราะใจที่สับสนวุ่นวาย อังเลยไม่สามารถพัฒนาการควบคุมธาตุน้ำได้เท่าที่ควร วันหนึ่งระหว่างที่อังกำลังฝึกอยู่ริมน้ำนั้น อังก็ได้ติดต่อกับโลกวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เทพมังกรเตือนอังว่า ขณะนี้ชาวอัคนีกำลังจะได้ตำราสำคัญเล่าหนึ่งไป และด้วยตำราเล่นนี้จะทำให้ชาวอัคนีจะทำให้โลกพบกับหายนะสำคัญ โดยตำรานั้นเป็นแผ่นที่ที่จะทำให้ชาวอัคนีค้นพบแหล่งวิญญาณสำคัญของชาวธาตุ น้ำ ดังนั้น อังจึงจำเป็นต้องช่วยเหลือและปกป้องชาวธาตุน้ำและปกป้องไม่ให้ชาวอัคนีทำลาย สมดุลของธรรมชาติ ณ ดินแดนวารีเหนือได้

ระหว่างที่อังเดินทาง ไปในดินแดนแห่งหนึ่งเพื่อรักษาตำราดังกล่าว อังก็ถูกกับดักล่อของชนเผ่าไฟ ที่ใช้พระองค์หนึ่งหลอกล่ออังให้หลงกลไปติดกับดักของทหารชาวไฟ อังถูกคุมขังในดินแดงอัคนีโดยแม่ทัพคนหนึ่งซึ่งเป็นคู่แข่งทางอำนาจกับองค์ รัชทายาทอย่างเจ้าชายซุกโกที่ต่างแก่งแย่งอังเพื่อนำไปมอบให้ราชา แต่ในที่สุดแม่ทัพก็ต้องพ่ายให้แก่อัง เพราะเจ้าชายซุกโกได้ลักลอบเข้าไปชิงตัวอังเช่นกัน แต่ระหว่างช่วงชิงกันนั้น อังก็เป็นอิสระจากทั้งสอง จากนั้นอังก็เดินทางมาพบกับเพื่อนและมุ่งหน้าไปยังดินแดนวารีเหนือเพื่อ ปฏิบัติภารกิจตามที่เทพมังกรว่าไว้ อังและเพื่อนได้พบกับเจ้าหญิงผมขาวที่ได้รับมอบวิญญาณจากเทพจันทรา และยังได้พบกับปรมาจารย์ที่มาช่วยสอนเค้าฝนการฝึกควบคุมธาตุน้ำ และเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้อังบรรลุการควบคุมธาตุน้ำได้ คือ การเข้าใจวิญญาณของธาตุน้ำ นั้นคือการยอมรับและปล่อยใจให้เป็นดั่งสายน้ำ ภายในดินแดนวารีเหนือนั้น มีถ้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งซ่อนอยู่ ซึ่งในนั้นมีธารน้ำของปลาหยิน หยาง ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งธาตุน้ำ และจันทรา ในที่สุดศัตรูตัวฉกาจก็เดินทางบุกโจมตีดินแดนวารีเหนือ แต่อย่าง ชาวไฟได้ทราบแล้วว่าการจะจัดการกับชาวน้ำในเวลาค่ำนั้นเป็นเรื่องลำบาก เนื่องจากเป็นเวลาที่พลังแห่งจันทราจะช่วยค้ำจุนพลังแห่งธาตุน้ำให้ทวีกำลัง เพิ่มขึ้น แม่ทัพดังกล่าวที่มีตำราแผนที่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ จึงเข้าไปพบกับถ้ำดังกล่าว และลงมือฆ่าปลาเทพเจ้าหยางในที่สุด จนทำให้สมดุลโลกขาดไป โลกยามค่ำคืนได้เข้าสู่ความมืด เนื่องจากจันทราไม่ส่องสว่างอีกแล้ว ในขณะเดียวกันชาวน้ำก็อ่อนพลังลง และกำลังพ่ายแพ้ต่อชาวไฟ แต่อย่างไร ด้วยความเสียสละของเจ้าหญิงผมขาวที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับมอบพลังวิญญาณต่อ ชีวิตจากเทพเจ้าจันทราจึงถวายวิญญาณของตนให้แด่เทพเจ้าอีกครั้งเพื่อคืน สมดุลให้แก่โลก ในที่สุดชาวน้ำก็ได้พลังกลับมาอีกครั้ง รวมทั้งอังเช่นกัน และด้วยความรัก ความห่วงใย อังจึงยับยั้งการรุกรานของชาวอัคนีได้โดยอาศัยพลังแห่งธาตุน้ำ นั่นคือการยอมรับและมีจิตใจเป็นดั่งสายน้ำ

การเมืองในหนัง และการเมืองในความเป็นจริง
ก่อนอื่น มีสิ่งหนึ่งที่ผมติดใจค่อนข้างมากเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ คือ ลักษณะเชื้อชาติของชนเผ่าต่างๆที่ปรากฏในเรื่อง ซึ่งเมื่อผมลองไปดูในฉบับการ์ตูน ปรากฏว่าการ์ตูน ลักษณะชนชาติของชนเผ่าจะไม่ชัดเจน เพราะตัวการ์ตูนจะหน้ากลมคางแหลมแบบญี่ปุ่นมากกว่า แต่ในหนัง เชื้อชาติของแต่ละชนเผ่าค่อนข้างชัดเจน เช่นว่า ชาวดินเป็นชาวเอเชียและคนผิวดำ ชาวน้ำเป็นชาวคอเคซอยด์ หรือ “ฝรั่ง” ที่เราเรียกกัน ชาวไฟเป็นชาวอาหรับ หรือ “แขก” อย่างเช่นเจ้าชายซุกโกที่ได้พระเอกอินเดียจาก Slumdog Millionaire และชาวลม เป็นพระจีน ยกเว้นแต่อัง ที่ได้เด็กฝรั่งมาแสดง หากจะพูดกัน อย่างง่ายๆ ตัวร้ายของเรื่องนี้ก็คือ ชาวไฟ การเลือกชาวอาหรับมาเป็นภาพแทนของชาวไฟดูจะเป็นเรื่องที่ชวนคิดไม่น้อยว่ามี อะไรอยู่เบื้องหลังหนังฮอลลีวู้ดหรือไม่ เพราะถ้าว่ากันจริงๆ อำนาจการเมืองโลกปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในขั้วของตะวันตก วิทยาการกระแสหลักในโลกปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จากโลกตะวันตกทั้งนั้น ไม่ต่างอะไรกับในหนัง ที่ความสามารถในการควบคุมธาตุของธาตุอื่นสูญหายไป เนื่องจากชาวไฟกำจัดความรู้วิชาเหล่านั้น เช่นกันเรา(ประเทศไทย)ในฐานะชาวเอเชียหรือชาวดิน เมื่อย้อนกลับมาดูตัวอย่างที่บ้านเรา สิ่งที่เป็นประเด็นปัญหาของบ้านเราอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือเรากำลังจะสูญเสียภูมิปัญญาของเรา ในขณะที่ภูมิปัญญาที่มีมานั้นก็ถูกชาติมหาอำนาจขโมยจดสิทธิบัตรไปเกือบจะ เสียหมด อย่างไรก็ตาม หากจะมองชาติอาหรับ หรือกลุ่มตะวันออกกลางเป็นผู้ร้าย ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า เกิดจากมุมมองที่เห็นชาวอาหรับในเรื่องผู้ก่อการร้าย ความโหดร้ายในอัฟกานิสถาน นิวเคลียร์ในอิรัก แต่หากเราพิจารณาลึกลงไปให้ดี ศัตรูของชาวอาหรับก็คือ สหรัฐ ฉะนั้นแล้วจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากว่า การสลับให้ชาวผิวขาวเป็นตัวละคร “มิตรที่ดี”(ผ่านตัวละครคาทาระและโซกกะที่คอยช่วยเหลืออังและชาวดิน) หรือชาวน้ำที่รักการยอมรับและมีจิตใจอ่อนโยนดั่งสายน้ำ กับการให้ชาวอาหรับเป็น “ผู้ร้าย” ผู้ครอบครองเรือกลไฟที่อาจมีนัยยะไปถึงแหล่งวัตถุสงคราม และเป็นศัตรูตัวฉกาจของทุกเผ่า นั้นเป็นเรื่องทางการเมืองในหนังด้วยหรือไม่ หรือแม้แต่การให้ตัวละครอังผู้ปลดปล่อยโลกนั้นเป็นเด็ก “ฝรั่ง” ก็ยังชวนให้ตั้งคำถามกับหนังว่า หรือว่าในท้ายที่สุด ผู้ปลดปล่อยโลกก็ยังต้องเป็นคนตะวันตกอยู่ดี

นอกจากการเมืองในหนังแล้ว การเมืองในความเป็นจริง อำนาจแห่งไฟก็ไม่ต่างอะไรกับโลกแห่งระบบทุนนิยมและการปกครองของขั้วมหาอำนาจ ที่แผ่ไปยังทั่วทุกมุมโลก การแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือดที่วางเดิมพันอยู่บนการนำทรัพยากรและมนุษย์มา ใช้อย่างไม่หยุดยั้ง การแผ่ทั้งลัทธิทางการเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยีวิทยาการที่สนองต่อระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม มหาอำนาจที่ใช้อำนาจทางการเงิน การเมือง เทคโนโลยี กฎหมายเป็นเครื่องมือต่อรองกับประเทศที่ด้อยกว่าเพื่อผลประโยชน์ สงครามแย่งชิงทรัพยากรและอำนาจ สงครามการเงินที่มีผู้ได้ประโยชน์เพียงไม่กี่ฝ่าย แต่ผู้เสียหายเป็นคนนับล้าน(เช่น วิกฤติการการเงิน) หรือแม้กระทั่งในระดับภายในประเทศ ผู้มีอำนาจก็ใช้อำนาจเอาเปรียบผู้ที่ด้อยกว่า ซึ่งมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ในประเทศไทยก็มีให้เห็นมากเช่นกัน ในทำนองเดียวกัน หากเราใช้วิธีคิดแบบมองทุกอย่างเป็นธาตุทั้งสี่มามองสภาพของโลกในความเป็น จริง ก็น่าสนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน เพราะดูเหมือนว่าโลกเรากำลังถูกปกครองด้วยอำนาจแห่งไฟจริงๆ เพราะไฟนั้นเป็นทั้งธาตุแห่งการเกิดและทำลาย ไฟเป็นแหล่งกำเนิดความร้อน ความอุ่น การให้กำเนิด การปรุงอาหาร แต่หากมากจนเกินไปหรือใช้ในทางที่ไม่ดี ไฟก็เป็นที่มาของหายนะได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นไฟป้า ไฟไหม้ การระเบิด หรือแม้แต่ปัญหาปัจจุบันอย่างโลกร้อนอันเนื่องมาจากการเผาไหม้ และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยที่ธาตุอื่นๆก็กำลังถูกอำนาจของไฟทำลายเรื่อยๆ อย่างธาตุดิน อันหมายถึงทั้งแผ่นดิน ป่าไม้ สัตว์ มนุษย์ ธาตุน้ำอย่างแหล่งน้ำ ขั้วโลก ธาตุลม อย่างเช่นปัญหามลภาวะ เชื้อโรค เป็นต้น ดังนั้นแล้ว หนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การ์ตูนให้ความบันเทิงกับผู้ชมเท่านั้น แต่ยังตีแผ่ปัญหาระดับโลกไว้อีกด้วย อย่างไรหนังไม่ได้แค่ตีแผ่เท่านั้น เพราะหนังยังชี้ทางแก้ให้แก่ประชาคมโลกด้วยเช่นกัน


ผู้นำที่โลกโหยหา : ปราชญ์แห่งจิตวิญญาณ
ตัว ละครอังทำให้ผมนึกถึง ลุค สกายวอล์กเกอร์(Luke Skywalker)ตัวละครในหนัง Star Wars “เจได”(นักรบอวกาศ)คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในจักรวาล ลักษณะของ “เจได” ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ถูกฝึกเป็นผู้ควบคุมธาตุลม นั่นคือมีลักษณะของการเป็นนักพรตนักบวช และเรียนรู้การพัฒนาจิตหรือวิญญาณ สังเกตจากการครองพรหมจรรย์(ไม่แต่งงาน) การฝึกสมาธิในการจะบรรลุการเป็นอวตาร/เจได สาเหตุที่ผู้เขียนกล่าวถึงข้อร่วมของตัวละครทั้งสองนั้น เนื่องจากผมสังเกตว่าแนวโน้มของหนังฮอลีวู้ด หรืออาจจะกล่าวไปไกลอีกหน่อยได้ว่าคนอเมริกากำลังให้ความสนใจกับวิถีของ ศาสนาพุทธ(นิกายเซน)ลัทธิเต๋ามากขึ้น การให้ตัวละครที่จะมากู้โลกหรือกู้จักรวาลนั้นมีลักษณะของนักบวชในลัทธิ นิกายดังกล่าวอาจสะท้อนให้เห็นได้ว่าโลกตะวันตกอาจเริ่มมองเห็นแล้วว่าวิถี ทางของตนอาจถึงทางตัน ในทางกลับกัน กลับมองเห็นว่าวิถีทางแบบธรรมชาตินิยม จิตวิญญาณนิยมน่าจะเป็นหนทางที่ผู้คน สังคมจะพัฒนา สงบสุขได้อย่างแท้จริง ดังนั้นแล้ว หากถามว่าผู้นำที่ดีที่สุดในหนังเรื่อง The Last Airbender เป็นอย่างไร คำตอบ ก็คือ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่จะมาปลุกจิตวิญญาณให้แก่มนุษย์ให้สามารถกลับมา เชื่อมโยงกับโลกทางวิญญาณ(The Spirit World)ได้อีกครั้ง หาใช่ผู้นำทางการเมืองที่รั้งแต่จะทำให้โลกยิ่งวุ่นวายมากขึ้น

หนทางหนึ่งที่ผู้นำทางวิญญาณ อย่างอังพึ่งทำ ก็คือการใช้ปัญญา เพราะหากเปรียบธาตุลมกับคนลักษณะใดจากในหนังนั้น อังคือภาพแทนของนักปราชญ์ เป็นผู้ที่มีสติปัญญาและการฝึกปรนทางจิตวิญญาณ ฉะนั้นธาตุลมจึงเปรียบได้กับปัญญา การที่เรื่องเลือกให้อวตารมาเกิดใหม่ในชนเผ่าลมเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้นำ ที่ดีนั้นควรจะเริ่มต้นจากการมีปัญญา อันสอดคล้องกับหลักของพุทธศาสนา ที่ว่าปัญญาจะนำไปสู่การรู้แจ้ง แต่ปัญญาจะไม่เกิดขึ้นได้หากยังไร้สติ ดังนั้นการมีสติ(การกำหนดจิตไปที่สิ่งใด) จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีเช่นกัน และการจะมีสติเพื่อมีปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกันหากไม่ได้พัฒนาสมาธิ ฉะนั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไมผู้ฝึกของธาตุลมในหนังต้องฝึกฝนการทำสมาธิ

เมื่อมีสติปัญญา อังก็ได้รับคำแนะนำจากเทพมังกรให้ไปฝึกฝนทักษะการควบคุมธาตุอื่นๆ ฉะนั้นแล้วผู้นำที่ดีนอกจากจะต้องมีปัญญาแล้วนั้น ก็ยังจำเป็นต้องรู้กว้าง และรู้ที่จะควบคุมธาตุต่างๆให้เกิดสมดุล กล่าวคือ พลังงานของธาตุต่างๆต้องถูกใช้ในระดับที่พอเหมาะพอดี(ทางสายกลาง) ไม่ทำลายธาตุใดธาตุหนึ่ง การที่ทุกธาตุปรับมาในระดับที่พอเหมาะก็จะช่วยให้เกิดสมดุลของโลก ฉะนั้นแล้วโลกอันสงบสุขในท้ายที่สุดแล้วอาจไม่ใช่โลกใหม่ แต่เป็นโลกใบเดิมที่ทุกธาตุทำงานร่วมกันในระดับที่พอดี ในหลักคิดของพุทธ การจะบอกว่าเท่าไรพอดี/ไม่พอดี ไม่ใช่สิ่งที่มีมาตรวัดตายตัว หากแต่ปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยบอกได้ว่าเท่าใดคือเหมาะสม ที่สำคัญการมีปัญญาในเรื่องดังกล่าวยังจำเป็นต้องสอดคล้องกับโลกทางวิญญาณ(โลกทางธรรมชาติ)

ดังนั้น ผู้นำที่โลกต้องการนั้น หรือแม้แต่การเป็นมนุษย์ที่สงบสุขก็คือผู้ที่มีปัญญา รู้จักธรรม(ชาติ) เป็นบุคคลที่ประกอบด้วยจิตวิญญาณที่ดี แต่เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ยิ่งหนัก เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้บอกว่ามีบุคคลเดียวในโลกนี้ที่ยังเชื่อมโยงกับโลกทาง จิตวิญญาณได้อยู่ แต่อย่างไร ในความเป็นจริง ผู้เขียนคิดว่าโลกเราคงไม่ได้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนั้น หากยังมีคนดีอีกหลายคนที่หลบซ่อนอยู่ไม่ต่างอะไรกับผู้ควบคุมธาตุต่างๆที่ เหลืออยู่ เพราะปัจจุบัน โลกเราเริ่มไม่ต่างอะไรจากชนเผ่าอัคนีที่เชื่อว่าโลกทางจิตวิญญาณเป็นเรื่อง หลอกลวง และไร้สาระ คล้ายๆกับโลกทัศน์วิทยาศาสตร์ที่กลายเป็นวิธีกระแสหลักไปทั่วโลกแล้ว จนทำให้มิติทางจิตวิญญาณค่อยๆสูญหายไปเรื่อยๆ

กอบกู้จิตวิญญาณของตัวเรา : ควบคุมธาตุทั้งสี่ด้วยปัญญา
จริงๆ วิธีคิดที่มองว่า โครงสร้างระดับจักรวาลกับโครงสร้างระดับปัจเจกเป็นโครงสร้างชุดเดียวกัน หรือเป็นชุดจำลอง ไม่ใช่สิ่งใหม่ หากเป็นสิ่งที่เคยถูกพูดไว้ในปรัชญากรีกเมื่อหลายพันปีก่อนเช่นกัน นั่นหมายความว่าการที่เราเข้าใจโครงสร้างจักวาลว่าทำงานอย่างไร และทำงานอย่างไรจึงจะดี แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเองก็จะทำให้ตนเองเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ ในทำนองเดียวกัน จากหนังเรื่องนี้ หากเราวิธีคิดเรื่องธาตุทั้งสี่มาพิจารณาในระดับของปัจเจกบุคคล เราทุกล้วนก็ล้วนประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ เพียงแต่ธาตุใดจะมีบทบาทมากกว่ากันเท่านั้นซึ่งก็จะสะท้อนออกมาผ่านทัศนะ บุคลิกนิสัย และการดำเนินชีวิต ฉะนั้นแล้วหากเรานำข้อคิดดีๆจากเรื่องนี้มาปรับใช้ นั่นก็หมายความว่า เราควรจะพัฒนาปัญญา และจิตวิญญาณของเรา โดยให้ปัญญานั้นอยู่เหนืออารมณ์ ไม่ต่างจากการให้ชนเผ่าอัคนีลดอำนาจของตนลง ที่สำคัญคือการปรับทั้งตัวและช่วยเหลือสังคมให้กลับมาสมดุลอันสอดคล้องกับธรรมชาติ

โดยสรุปแล้ว ผมคิดว่าตนเองพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใด M.Night จึงเลือกการ์ตูนเรื่องนี้มาทำเป็นหนัง เพราะการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ได้ตอบโจทย์เพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่หนังเรื่องยังแฝงด้วยข้อคิด และมิติทางสังคม การเมือง จิตวิญญาณที่ชวนให้ผู้ชมได้กลับไปคิดตามได้อย่างมากมาย การเลือกนำเสนอให้ออกมาเป็นลักษณะแฟนตาซี(ดูเด็กๆ) ที่สำคัญคือ “ดูง่าย” ซึ่งต่างจากผลงานครั้งก่อนๆของ M.Night อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟน M.Night บ่นเสียดาย แต่สำหรับตัวผมแล้วนั้น แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะดูง่ายจริง แต่หากพิจารณาลึกลงไปจะเห็นว่ามีประเด็นซ้อนกันหลายชั้น และล้วนแต่แฝงด้วยคำวิจารณ์วิพากษ์สังคม หรือแม้แต่ทางออกเพื่อโลกนี้ ดังนั้นแล้ว ท้ายนี้ ผมจึงอยากเชื้อเชิญผู้อ่านให้ลองไปชมหนังเรื่อง The Last Airbender และอยากฝากข้อคิดต่างๆทั้งหลายไปชวนคิดทิ้งท้ายด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น